คดีนี้กับคดีทั้งเจ็ดสำนวนของศาลแรงงานกลาง ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 8
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งแปดฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าจ้างและเงินอื่น ๆ แก่โจทก์ทั้งแปด ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างและเงินอื่น ๆ พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งแปด แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 8 ขอหมายบังคับคดีและขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดสิทธิเรียกร้องเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่จำเลยมีสิทธิได้รับคืนจากผู้ร้องจำนวน 175,010.96 บาท ผู้ร้องส่งเงินตามหนังสือแจ้งอายัดสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับแล้วเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2563
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ในเงินดังกล่าว
โจทก์ที่ 2 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ในเงินภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามคำร้อง
โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานพิพากษายกคำสั่งของศาลแรงงานกลางที่ไม่งดการบังคับคดีและที่อนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ในเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลางนับแต่อ่านคำสั่งดังกล่าว แล้วให้งดการบังคับคดีไว้ จนกว่าจะมีเหตุให้ดำเนินการต่อไปได้ตามกฎหมาย โดยให้คู่ความแถลงขอยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่เมื่อถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผน หรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอ หรือจำหน่ายคดี หรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ หรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ หรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติโดยไม่มีคู่ความโต้แย้งกันว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการให้บริการขนส่งระหว่างประเทศโดยอากาศยาน เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละศูนย์ ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 80/1 จำเลยมีสิทธิได้รับคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 175,010.96 บาท วันที่ 14 มกราคม 2563 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือแจ้งอายัดสิทธิเรียกร้องในเงินภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวแก่ผู้ร้อง วันที่ 18 พฤษภาคม 2563 ผู้ร้องนำส่งเงินตามหนังสือแจ้งอายัดสิทธิเรียกร้องดังกล่าวเป็นเช็ค ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับเงินตามเช็คดังกล่าวในวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 วันที่ 4 มิถุนายน 2563 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เป็นคดีนี้ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นหนี้ภาษีอากรและเงินเพิ่มค้างชำระต่อผู้ร้องเป็นเงิน 192,200,103.90 บาท โดยผู้ร้องได้นำส่งหนังสือแจ้งการประเมินภาษีอากรไปยังภูมิลำเนาจำเลย โดยมีนางสาวนิภาภรณ์ พนักงานของจำเลย ตำแหน่งผู้จัดการแผนกบัญชีและภาษีอากร รับไว้โดยชอบ จำเลยมีทรัพย์สินเพียงสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากธนาคาร รถยนต์ 14 คัน และจำเลยขอคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มของจำเลยจากผู้ร้องเป็นเงิน 70,000,000 บาทเศษ ซึ่งไม่อาจนับเป็นทรัพย์สินของจำเลย รวมทั้งผู้ร้องมีสิทธิหักกลบลบหนี้ จำเลยไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะนำมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องได้โดยสิ้นเชิง ถือว่าผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้ การแก้ไขวันที่ในใบแต่งทนายความของผู้ร้องเป็นการแก้ไขให้ตรงกับวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลแรงงานกลาง เป็นการแก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงในวันยื่นคำร้อง เป็นการแต่งตั้งทนายความให้ดำเนินคดีโดยชอบแล้ว ไม่ทำให้การแต่งตั้งทนายความเสียไป ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า เมื่อศาลล้มละลายกลางรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยไว้ โดยไม่ปรากฏว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จึงต้องด้วยกรณีที่ศาลแรงงานกลางซึ่งเป็นศาลที่พิจารณาคดีแพ่งต้องงดการบังคับคดีไว้ตามมาตรา 90/12 (5) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 การที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกมาตรา 110 วรรคสอง ของกฎหมายดังกล่าว ซึ่งเป็นบทบัญญัติในหมวด 4 ส่วนที่ 3 ว่าด้วยผลของการล้มละลายเกี่ยวกับกิจการที่ได้กระทำไปแล้วขึ้นประกอบการวินิจฉัยว่า การบังคับคดีสำเร็จบริบูรณ์แล้ว ไม่มีเหตุให้งดการบังคับคดี แล้วดำเนินการไต่สวนคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องจนมีคำสั่งมานั้น เป็นกระบวนการพิจารณาที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายและคดีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ที่ 2 อีกต่อไป
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า การที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายกคำสั่งของศาลแรงงานกลางที่ไม่งดการบังคับคดีและอนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ในเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม แล้วให้งดการบังคับคดีไว้จนกว่าจะมีเหตุให้ดำเนินการต่อไปได้ตามกฎหมายนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มิได้บัญญัตินิยามความหมายของคำว่า "การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์" ไว้เป็นการเฉพาะ การตีความความหมายของคำดังกล่าวตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 90/12 (5) ที่บัญญัติเป็นข้อยกเว้นให้ศาลไม่จำเป็นต้องงดการบังคับคดีไว้ในกรณีที่การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะได้ทราบว่าได้มีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการนั้น คงต้องพิจารณาเทียบเคียงกับกรณีกิจการที่ได้กระทำไปแล้วหากมีกรณีที่ลูกหนี้ล้มละลาย เนื่องจากผลของการล้มละลายหรือการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ย่อมไม่อาจกระทบกระเทือนต่อกิจการที่ได้กระทำไปจนเสร็จสิ้นก่อนแล้วเช่นเดียวกัน การที่มาตรา 110 วรรคสอง ซึ่งเป็นกรณีของผลของการล้มละลายเกี่ยวกับกิจการที่ได้กระทำไปแล้ว ได้ให้ความหมายของคำว่า การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำขอเฉลี่ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 326 วรรคห้า ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์การขอเฉลี่ยทรัพย์ ในกรณีอายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยกำหนดระยะเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเสียก่อนสิ้นระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันชำระเงิน ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับเงินตามเช็คที่ผู้ร้องนำส่งตามหนังสือแจ้งอายัดในวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 กำหนดเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำขอเฉลี่ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าวคือภายในวันที่ 5 มิถุนายน 2563 การที่จำเลยยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางในวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันชำระเงิน ถือว่าการบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทราบว่าได้มีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ ศาลแรงงานกลางไม่จำต้องงดการบังคับคดีไว้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 (5) ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายกคำสั่งของศาลแรงงานกลาง โดยเห็นว่าศาลแรงงานกลางไม่งดการบังคับคดีไว้เพราะเห็นว่าการบังคับคดีสำเร็จบริบูรณ์แล้วมีคำสั่งให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ได้ตามคำร้อง เป็นกระบวนพิจารณาที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาขอให้บังคับตามคำสั่งของศาลแรงงานกลางนั้น คดีนี้โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลาง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า ศาลแรงงานกลางดำเนินกระบวนพิจารณาฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ที่ 2 แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวของศาลแรงงานกลางชอบแล้วดังที่วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้ว จึงต้องพิจารณาตามอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ที่ 2 ต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาเพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยในปัญหาตามอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ที่ 2 ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษยังไม่ได้วินิจฉัย ดังนี้เพื่อความรวดเร็วสมดังเจตนารมณ์ของการพิจารณาคดีแรงงาน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียทีเดียว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิจารณาพิพากษาใหม่ โดยในส่วนที่โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์ว่า หนี้ภาษีอากรค้างที่ผู้ร้องกล่าวอ้างมีจำนวนเกินหนี้ที่เป็นจริง ผู้ร้องไม่มีหลักฐานมูลหนี้ที่แท้จริงกับจำเลยมายืนยันว่าจำเลยผูกพันเป็นหนี้ตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเพื่อชำระค่าภาษีให้แก่ผู้ร้องจริงหรือไม่ ผู้ร้องไม่มีหลักฐานว่า นางสาวนิภาภรณ์ เป็นผู้รับหนังสือเตือนให้จำเลยชำระหนี้ภาษีอากรค้างจริง นางสาวนิภาภรณ์ไม่มีฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยในวันที่ผู้ร้องอ้างว่าได้นำส่งหนังสือเตือนดังกล่าว จำเลยยังมีทรัพย์สินอื่นซึ่งเป็นสิทธิในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มในดือนกันยายน 2560 ถึงเดือนเมษายน 2562 รวมเป็นเงิน 74,680,632.09 บาท ให้ผู้ร้องเอาชำระหนี้ได้เพียงพอต่อจำนวนหนี้ที่มีกับผู้ร้อง และใบแต่งทนายความของผู้ร้องมีการแก้ไขด้วยน้ำยาลบคำผิดโดยไม่ได้มีการลงชื่อรับรองการแก้ไข จึงต้องถือวันที่ลงในใบแต่งทนายความแต่เดิมคือวันที่ 24 มิถุนายน 2563 ผู้ร้องจึงไม่ได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ภายใน 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 326 ผู้ร้องไม่มีสิทธิในการเข้าเฉลี่ยทรัพย์ตามคำร้อง นั้น ล้วนแต่เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่รับฟังมาว่า จำเลยเป็นหนี้ภาษีอากรและเงินเพิ่มค้างชำระต่อผู้ร้องเป็นเงิน 192,200,103.90 บาท ผู้ร้องได้นำส่งหนังสือแจ้งการประเมินภาษีอากรไปยังภูมิลำเนาจำเลย โดยมีนางสาวนิภาภรณ์ พนักงานของจำเลย ตำแหน่งผู้จัดการแผนกบัญชีและภาษีอากร รับไว้โดยชอบ จำเลยไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะนำมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องได้โดยสิ้นเชิง ถือว่าผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้ และการแก้ไขใบแต่งทนายความของผู้ร้องให้ตรงกับวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลแรงงานกลาง เป็นการแก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงในวันยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้อง อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ดังนี้ เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะนำมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องได้โดยสิ้นเชิง ถือได้ว่าผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ในเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามคำร้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 326 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 จึงชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลแรงงานกลาง