โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าเสื้อผ้าสำเร็จรูปแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 201,400 บาท แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 150,410 บาท และแก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 57,342 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยเป็นหนี้ค่าเสื้อผ้าสำเร็จรูปโจทก์ทั้งสาม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 201,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 10 กรกฎาคม 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 150,410 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 2 และจำนวน 47,342 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 3
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นโดยโจทก์ที่ 1 และจำเลยทั้งสองไม่โต้แย้งว่า โจทก์ที่ 1 มีอาชีพทำนาและตัดเย็บเสื้อผ้า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากัน จำเลยทั้งสองเคยซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากโจทก์ที่ 1 ไปจำหน่ายหลายครั้งในระหว่างปี 2537 ถึงปี 2540 เมื่อจำหน่ายเสื้อผ้าได้แล้วจึงนำเงินสดมาชำระราคาในภายหลัง โดยไม่มีการทำหลักฐานการซื้อขายและการชำระเงินเพราะเชื่อใจกันต่อมาโจทก์ที่ 1 อ้างว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้ค่าเสื้อผ้าสำเร็จรูปโจทก์ที่ 1 ได้มีการเจรจากันต่อหน้านายเหมือน เหล่าคะเนย์ ผู้ใหญ่บ้านที่โจทก์ที่ 1 เป็นลูกบ้าน นายเข้ม โสนะโชติ ผู้ใหญ่บ้านที่จำเลยทั้งสองเป็นลูกบ้าน และนายวิชัย สุวรรณเพ็ง อดีตกำนัน ตำบลศรีสุข ท้องที่ที่โจทก์ที่ 1 และจำเลยทั้งสองเป็นลูกบ้าน ได้ทำบันทึกกันไว้เป็นหลักฐานตามเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาร้อยตำรวจเอกฉัตรมงคล แก้วประเสริฐ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอกันทรวิชัย เรียกโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไปเจรจา ตามรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานเอกสารหมาย จ.2 มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ที่ 1 ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ที่ 1 และจำเลยทั้งสองต่างเบิกความยันกันปากต่อปาก โดยโจทก์ที่ 1 อ้างว่า จำเลยทั้งสองซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากโจทก์ที่ 1 ไปขาย ยังไม่ชำระเงินให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 201,400 บาท ส่วนจำเลยทั้งสองยืนยันว่า ซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากโจทก์ที่ 1 ไปขายจริง แต่ได้ชำระเงินครบถ้วนแล้ว เห็นว่า โจทก์มีนายเหมือนผู้ใหญ่บ้านที่โจทก์ที่ 1 เป็นลูกบ้าน นายเข้มผู้ใหญ่บ้านที่จำเลยทั้งสองเป็นลูกบ้าน และนายวิชัยอดีตกำนันตำบลที่โจทก์ที่ 1 และจำเลยทั้งสองเป็นลูกบ้านต่างเบิกความทำนองเดียวกันว่า ในวันเจรจากันนั้นจำเลยทั้งสองยอมรับว่า เป็นหนี้ค่าเสื้อผ้าที่ซื้อไปจากโจทก์ที่ 1 จริง ได้มีการบันทึกถ้อยคำเป็นหลักฐานตามเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้ขอให้ร้อยตำรวจเอกฉัตรมงคลพนักงานสอบสวนเรียกจำเลยทั้งสองมาเจรจา ร้อยตำรวจเอกฉัตรมงคลก็ยืนยันว่าได้ไกล่เกลี่ยแล้ว จำเลยที่ 2 ยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ที่ 1 จริง จำเลยที่ 2 จะนำที่ดินมาตีใช้หนี้ แต่ในที่สุดก็ยังตกลงกันไม่ได้ ดาบตำรวจสำฤทธิ์ วัฒนบุตร เสมียนประจำวันได้เขียนบันทึกรายงานประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ตามเอกสารหมาย จ.2 เห็นได้ว่า แม้เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 จำเลยทั้งสองจะไม่ยอมลงลายมือชื่อจึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่มีผลผูกพันจำเลยทั้งสองก็ตาม แต่ก็ฟังประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์ที่ 1 ที่ยืนยันว่าได้มีการเจรจากันจริง โดยเฉพาะนายเหมือน นายเข้ม เป็นผู้ใหญ่บ้าน นายวิชัย เป็นอดีตกำนัน ร้อยตำรวจเอกฉัตรมงคลและดาบตำรวจสำฤทธิ์ต่างเป็นเจ้าพนักงานของรัฐและอดีตเจ้าพนักงานของรัฐ เป็นผู้ใหญ่ที่น่าเชื่อถือในหมู่บ้านที่โจทก์ที่ 1 และจำเลยทั้งสองอยู่อาศัย ทั้งไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ถือได้ว่าเป็นพยานคนกลางทำให้พยานโจทก์ดังกล่าวมีน้ำหนักเชื่อว่าเบิกความไปตามความจริง ส่วนจำเลยทั้งสองคงมีแต่ตัวจำเลยทั้งสองเบิกความว่า ได้ชำระหนี้ค่าเสื้อผ้าสำเร็จรูปให้โจทก์ที่ 1 หมดแล้วไม่ได้ค้างชำระ แต่จำเลยทั้งสองไม่มีพยานอื่นใดมานำสืบสนับสนุนให้เป็นว่าข้อเท็จจริงเป็นดังจำเลยทั้งสองอ้าง และที่จำเลยทั้งสองอ้างว่า โจทก์ที่ 1 เบิกความว่าจำไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองรับซื้อเสื้อผ้าไปวันที่เท่าใดและมีรายการเสื้อผ้าใดบ้าง จึงไม่น่าเชื่อเพราะขัดกับข้อเท็จจริงนั้น จำเลยทั้งสองยอมรับว่าการรับเสื้อสำเร็จรูปไปขายไม่ได้ทำหลักฐานไว้เพราะเชื่อใจกัน ดังนั้น ที่โจทก์ที่ 1 จำไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองซื้อเสื้อผ้าไปวันที่เท่าใดและมีรายการใดบ้าง จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาเพราะเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ซื้อขายมีจำนวนมาก ทั้งไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือไว้ด้วย โจทก์ที่ 1 อาจหลงลืมได้ พยานหลักฐานที่โจทก์ที่ 1 นำสืบมาจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่าพยานจำเลยทั้งสอง เชื่อว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ที่ 1 จริง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์ที่ 1 ตามฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน