โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่าจำเลยขายสิทธิการเช่าให้โจทก์โจทก์ชำระเงินครบถ้วนแล้ว แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงโอนชื่อผู้เช่ากับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ต่อมาโจทก์ประสงค์จะโอนสิทธิการเช่าดังกล่าวให้วัดเจริญธรรมารามโจทก์จึงให้จำเลยขอย้ายดทรศัพท์หมายเลขดังกล่าวไปไว้ที่วัดนั้นแต่ยังไม่มีคู่สาย ต่อมาจำเลยกลับแจ้งขอระงับการย้ายไว้ก่อนอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอบังคับให้จำเลยถอนการระงับการย้ายโทรศัพท์หมายเลข 8238065 และโอนโทรศัพท์หมายเลขดังกล่าวให้โจทก์ตามระเบียบขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยขายสิทธิการเช่าโทรศัพท์ให้โจทก์และไม่เคยรับเงินจากโจทก์ แต่จำเลยขายให้แก่ผู้อื่นซึ่งต่อมาได้เลิกสัญญากันแล้ว ต่อมาจำเลยขายสิทธิการเช่าโทรศัพท์ให้สำนักงานปิ่นเจริญ โจทก์มาขอแบ่งเงินส่วนหนึ่งจำเลยไม่ยอมให้ โจทก์ได้ไปแจ้งองค์การโทรศัพท์ว่าจำเลยต่อสายโทรศัพท์ออกนอกบ้านขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเพิกถอนการระงับการย้ายโทรศัพท์หมายเลข 5238065 ห้ามจำเลยระงับการย้ายโทรศัพท์ดังกล่าวอีกต่อไป หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยได้ขายสิทธิการเช่าโทรศัพท์ของจำเลยให้แก่โจทก์ โดยรับเงินไปจากโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิขอบังคับให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ดังกล่าวให้แก่โจทก์
อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาตามคำขอข้อ 1 ท้ายคำฟ้องเดิมนั้นต่อมาเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2526 โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำขอท้ายฟ้องมีข้อความว่า ให้จำเลยจัดการโอนโทรศัพท์เลขหมาย 5238065 ให้แก่โจทก์ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้วดังนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษาบังคับจำเลยตามคำขอเดิม จึงไม่ชอบสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษากลับ ให้จำเลยโอนสิทธการเช่าโทรศัพท์หมายเลข 5238065ของจำเลยแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษานี้แทนการแสดงเจตนาของจำเลย.