โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงิน 23,539,925 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,469,500 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์ชำระเงิน 1,215,377.12 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,089,758 บาท นับถัดจากวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถอนฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 ธันวาคม 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับยกเว้นนั้นให้จำเลยที่ 1 นำมาชำระต่อศาลในนามโจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า แม้คดีนี้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ว่าเมื่อโจทก์ลาออกจากพนักงานของบริษัท ก. โดยมิได้มีความผิดมีผลให้โจทก์ยังมีสถานะเป็นสมาชิกของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้รับชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมจากโจทก์จนครบจำนวนตามสัญญากู้งวดแรกแล้ว แต่ปรากฏตามสำเนาหนังสือกู้ยืมเงิน เงินกู้พิเศษ ข้อ 3 ระบุให้ผู้กู้ยินยอมให้ผู้ให้กู้หักเงินเดือนและ/หรือค่าจ้างของผู้กู้เพื่อชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยตามสัญญา ณ วันจ่ายเงินเดือนและ/หรือค่าจ้างของผู้กู้ไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น และข้อ 4 ระบุถึงกรณีผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้หรือผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด ยินยอมให้ผู้ให้กู้มีสิทธินำรายได้ที่ผู้กู้จะพึงได้รับจากบริษัท ก. หรือจากผู้ให้กู้หักชำระหนี้ได้ทันทีจนกว่าผู้ให้กู้จะได้รับชำระหนี้โดยครบถ้วน และข้อ 14 ระบุว่า ถ้าผู้กู้ประสงค์จะขอลาออกจากงานประจำ ผู้กู้ต้องแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ให้กู้ทราบก่อนและจะต้องจัดการชำระหนี้ทั้งหมดซึ่งผู้กู้มีอยู่ต่อผู้ให้กู้เสร็จสิ้นทันทีเสียก่อน ถ้าผู้กู้ไม่ปฏิบัติตามดังกล่าว ผู้กู้ยินยอมให้บริษัท ก. และ/หรือผู้ให้กู้มีสิทธิหักเงินเดือน ค่าจ้าง เงินสะสม เงินบำเหน็จ เงินโบนัส เงินปันผล เพื่อชำระหนี้ให้แก่ผู้ให้กู้จนเสร็จสิ้นทันที ซึ่งข้อตกลงตามสัญญากู้ดังกล่าวล้วนให้ความสำคัญกับคุณสมบัติของผู้กู้ว่าต้องมีสถานะเป็นพนักงานประจำของบริษัท ก. เป็นสาระสำคัญ ด้วยเหตุตามข้อตกลงในสัญญาข้อ 3 ว่าให้สิทธิผู้ให้กู้สามารถหักเงินเดือนหรือค่าจ้างของผู้กู้ยืมเพื่อชำระหนี้เงินกู้ ข้อ 4 ให้สิทธิผู้ให้กู้สามารถหักเงินเดือน ค่าจ้าง เงินสะสม เงินบำเหน็จ เงินโบนัส เงินปันผล หรือเงินอื่นใดที่ผู้กู้จะพึงได้รับได้ทันทีในกรณีที่ผู้กู้ผิดข้อตกลงข้อใดข้อหนึ่ง โดยเฉพาะในข้อ 14 ระบุหน้าที่ของผู้กู้หากประสงค์จะลาออกจากงานประจำ ผู้กู้ต้องแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ให้กู้ทราบก่อนและจะต้องชำระหนี้ทั้งหมดซึ่งผู้กู้มีอยู่ต่อผู้ให้กู้ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน หากไม่ปฏิบัติตาม ผู้กู้ยินยอมให้ผู้ให้กู้หักเงินเดือน ค่าจ้าง เงินสะสม เงินบำเหน็จ เงินโบนัส เงินปันผล หรือเงินอื่นใดที่ผู้กู้มีสิทธิได้รับเพื่อชำระหนี้ให้แก่ผู้ให้กู้ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ลาออกจากการเป็นพนักงานประจำของบริษัท ก. โดยไม่มีการแจ้งเป็นหนังสือให้จำเลยที่ 1 ทราบ นอกจากถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวแล้ว ข้อสัญญากู้ยืมยังชี้ชัดว่าจำเลยที่ 1 ผู้ให้กู้คำนึงถึงรายได้ประจำของโจทก์ที่ได้จากการเป็นพนักงานประจำของบริษัท ก. ในการให้กู้ยืมเงินว่ามีรายได้ประจำเดือนเพียงพอชำระหนี้หรือไม่ เพื่อให้จำเลยที่ 1 ผู้ให้กู้มีสิทธิหักเงินเดือน ค่าจ้างชำระหนี้จากการกู้ยืมดังกล่าว ซึ่งมีระยะเวลาผ่อนชำระหนี้นานถึง 350 งวด การที่โจทก์ลาออกจากบริษัท ก. ย่อมมีผลทำให้จำเลยที่ 1 ผู้ให้กู้ไม่สามารถหักเงินเดือนหรือค่าจ้างชำระหนี้เงินกู้ได้ การลาออกจากพนักงานประจำของบริษัท ก. จึงเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้จำเลยที่ 1 ผู้ให้กู้สามารถเรียกให้โจทก์ชำระหนี้ได้ทันทีโดยถือว่าโจทก์ผิดข้อตกลงตามสัญญากู้ยืมข้อ 14 และหลังจากนั้นเมื่อโจทก์ขอเบิกเงินกู้งวดที่ 2 ต่อจำเลยที่ 1 คณะกรรมการเงินกู้พิเศษของจำเลยที่ 1 ประชุมเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2559 พิจารณาแล้วมีมติไม่อนุมัติจ่ายเงินกู้งวดที่ 2 และงวดต่อไป เนื่องจากกรณีไม่เป็นไปตามสัญญากู้ยืมเงินข้อ 14 ตามรายงานการประชุมคณะกรรมการเงินกู้พิเศษฯ และคณะกรรมการดำเนินการประชุมเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2559 พิจารณาแล้วมีมติไม่อนุมัติจ่ายเงินงวดที่ 2 และงวดต่อไป จึงเป็นการกระทำที่ชอบ หาใช่เป็นการผิดสัญญาดังที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใด ส่วนที่ข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ข้อ 19 ระบุว่า ความผูกพันของผู้กู้และผู้ค้ำประกัน ผู้กู้หรือผู้ค้ำประกันต้องรับผูกพันตามข้อบังคับนี้ ถ้าตนประสงค์จะขอโอนหรือย้าย หรือลาออกจากการเป็นพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ตามข้อ 34 (3) จะต้องแจ้งเป็นหนังสือให้สหกรณ์ทราบ และจัดการชำระหนี้สินซึ่งตนมีอยู่ต่อสหกรณ์ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน เว้นแต่กรณีที่พนักงานหรือเจ้าหน้าที่นั้น ยังคงเป็นสมาชิกสหกรณ์อยู่ เมื่อข้อสัญญาตามสัญญากู้ยืมเงินมิได้กำหนดข้อยกเว้นดังกล่าวไว้ จึงไม่อาจนำข้อบังคับมาใช้กับสัญญากู้ยืมที่โจทก์และจำเลยที่ 1 มีเจตนาทำสัญญาต่อกัน โจทก์และจำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันตามข้อตกลงในสัญญากู้ยืมดังกล่าวเป็นสำคัญ ส่วนที่ข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ข้อ 44 ระบุว่า สมาชิกที่ออกจากงานประจำโดยไม่มีความผิด ถ้ามิได้ลาออกจากสหกรณ์ด้วย ก็ให้ถือว่าคงเป็นสมาชิกอยู่ สมาชิกเช่นว่านั้นอาจได้รับเงินกู้จากสหกรณ์ได้ตามระเบียบว่าด้วยเงินกู้ของสหกรณ์ที่ใช้บังคับอยู่ ข้อบังคับนี้เพียงแต่กำหนดว่าสมาชิกที่ลาออกจากงานประจำแล้วแต่ยังเป็นสมาชิกของจำเลยที่ 1 อยู่ อาจได้รับสิทธิรับเงินกู้จากสหกรณ์จำเลยที่ 1 ได้ตามระเบียบ ดังนี้ คณะกรรมการยังคงต้องพิจารณาอนุมัติให้ได้รับเงินกู้ได้หรือไม่ตามระเบียบ และข้อบังคับดังกล่าวไม่อาจนำมาใช้กับกรณีของโจทก์ซึ่งขณะทำสัญญากู้ยืมโจทก์มีคุณสมบัติเป็นพนักงานประจำของบริษัท ก. แต่มาลาออกภายหลัง ทั้งการที่โจทก์ลาออกจากการเป็นพนักงานประจำตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2559 โดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบก่อน และมิได้ชำระหนี้ทั้งหมดทันทีเสียก่อนเช่นนี้ ยังเป็นการผิดสัญญาต่อจำเลยที่ 1 ทำให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิไม่จ่ายเงินกู้งวดที่เหลือให้แก่โจทก์ได้ ส่วนที่โจทก์ผ่อนชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 เรื่อยมาทุกเดือนตั้งแต่ออกจากการเป็นสมาชิก ก็เป็นเพียงการชำระหนี้เงินกู้ที่โจทก์รับไปแล้วตามสัญญา ไม่ใช่เป็นการกระทำที่ทำให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์จะผูกพันตามสัญญากู้ยืมเงินต่อไป ดังนี้ พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 จึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การที่จำเลยที่ 1 ไม่จ่ายเงินให้แก่โจทก์ในงวดที่ 2 และงวดต่อไปเป็นเพราะโจทก์ลาออกจากพนักงานประจำของบริษัท ก. โดยไม่ได้แจ้งเป็นหนังสือแก่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ให้กู้ทราบก่อนและโจทก์ไม่จัดการชำระหนี้ทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 1 อันเป็นการผิดสัญญาตามข้อตกลงในสัญญากู้ยืมข้อ 14 จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ