คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยชำระเงิน 8,937,387.14 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 7,243,630.07 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัดให้โจทก์บังคับคดีโดยยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 4904, 4905 และ 5243 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด และมีนางสาวรัตนาเป็นผู้เสนอราคาสูงสุดและวางเงินมัดจำ ต่อมานางสาวรัตนาไม่ชำระหนี้ส่วนที่เหลือ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงยึดเงินมัดจำ เจ้าพนักงานบังคับคดีนำทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดซ้ำในนัดที่ 2 วันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 มีผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้เสนอราคาสูงสุด 6,180,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเคาะไม้ขายให้
จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
โจทก์และผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า กรณีมีเหตุให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาท เพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้จัดส่งประกาศขายทอดตลาดให้แก่จำเลยตามภูมิลำเนาเฉพาะการตามที่จำเลยได้แถลงไว้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้จำเลยไม่ทราบประกาศขายทอดตลาดและไม่ได้มีโอกาสเข้าสู้ราคาหรือหาบุคคลอื่นเข้าสู้ราคาหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2559 ผู้แทนโจทก์นำยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 4904, 4905 และ 5243 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและประเมินราคาไว้ 5,179,000 บาท เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2560 จำเลยยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอเปลี่ยนที่อยู่ส่งเอกสารเป็นบ้านเลขที่ 62/1 ในนัดขายทอดตลาดวันที่ 9 สิงหาคม 2560 มีนางสาวรัตนาเข้าสู้ราคาและเสนอราคาสูงสุดเป็นเงิน 16,750,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเคาะไม้ขายให้แก่นางสาวรัตนา หลังจากวางเงินมัดจำแล้วนางสาวรัตนาไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงยึดเงินมัดจำและได้ประกาศขายทอดตลาดซ้ำกำหนดวันขายทอดตลาดรวม 4 นัด โดยส่งประกาศขายทอดตลาดให้จำเลยที่บ้านเลขที่ 35/452 ในนัดที่ 1 วันที่ 27 ตุลาคม 2561 ไม่มีผู้สนใจเข้าสู้ราคา และในนัดที่ 2 วันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 ผู้ซื้อทรัพย์เสนอราคาสูงสุดเป็นเงิน 6,180,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับจึงได้เคาะไม้ขายทรัพย์จำนองให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ เห็นว่า แม้จำเลยจะมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเลขที่ 35/452 แต่เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2560 จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งขอเปลี่ยนที่อยู่จัดส่งเอกสารต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นบ้านเลขที่ 62/1 แล้ว ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีก็มีคำสั่งคำร้องว่า "ทราบ รวม จำเลยทราบประกาศขายในวันนี้แล้ว" คือ ประกาศขายทอดตลาดฉบับเดิม ซึ่งนางสาวรัตนาประมูลได้แต่ถูกเพิกถอนการขายทอดตลาดเพราะไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือ เมื่อประกาศขายทอดตลาดใหม่ ลงวันที่ 27 สิงหาคม 2561 เจ้าพนักงานบังคับคดีจำต้องส่งประกาศขายทอดตลาดแก่จำเลยที่บ้านเลขที่ 62/1 ตามที่จำเลยแจ้งภูมิลำเนาเฉพาะการไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 42 เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้จัดส่งประกาศขายทอดตลาดให้แก่จำเลยตามภูมิลำเนาเฉพาะการที่จำเลยแจ้งไว้ แต่จัดส่งประกาศขายทอดตลาดให้แก่จำเลยที่บ้านเลขที่ 35/452 อันเป็นภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่อาจถือได้ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาหลายแห่ง หรือจำเลยน่าจะทราบประกาศขายทอดตลาดเพราะญาติของจำเลยน่าจะแจ้งให้ทราบแล้วมิได้ เพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยมาดูแลการขายทอดตลาดแต่อย่างใด จึงถือว่ามิได้มีการจัดส่งประกาศขายทอดตลาดให้แก่จำเลย ฉะนั้น การขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ครั้งนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ