โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 83, 341
ให้จำเลยคืนเงิน 260,000 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา
นางสาว ศ. ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต และก่อนมีคำพิพากษาโจทก์ร่วมกับจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ
ฉบับลงวันที่ 26 เมษายน 2560
ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2561 ซึ่งในวันดังกล่าวจำเลยผ่อนชำระหนี้เงินให้แก่โจทก์ร่วมบางส่วนยังคงค้าง
176,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 (เดิม) จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา
ประกอบกับจำเลยชำระเงินให้โจทก์ร่วมมาบ้างแล้ว มีเหตุบรรเทาโทษ
ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ให้จำเลยชำระเงิน 176,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
นับแต่วันพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม
ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค
3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกกล่าวอ้างว่าสามารถช่วยเหลือฝากผู้เสียหายเข้าทำงานรับราชการในองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศบาลในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ได้อันเป็นความเท็จ
ความจริงแล้วจำเลยกับพวกไม่สามารถช่วยเหลือฝากผู้เสียหายเข้าทำงานรับราชการในองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศบาลในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ตามที่กล่าวอ้างได้
โดยการหลอกลวงของจำเลยกับพวกเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าเป็นความจริงจึงมอบเงิน
550,000 บาท ให้จำเลยไปดำเนินการตามที่จำเลยกับพวกกล่าวอ้าง ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพและคู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงไม่ติดใจสืบพยาน
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติตามคำรับสารภาพของจำเลย
กรณีฟังได้ว่าโจทก์ร่วมได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ
จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีในข้อหานี้ได้ เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีหน้าที่ในการคัดเลือกหรือบรรจุบุคคลเข้ารับราชการในองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศบาลในเขตจังหวัดบุรีรัมย์
อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็ไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์ร่วมมีเจตนาตั้งแต่แรกที่จะไปติดต่อจำเลยเพื่อขอให้ช่วยฝากเข้าทำงานรับราชการ
ดังนั้น การที่โจทก์ร่วมมอบเงินจำนวน550,000
บาท ล้วนเกิดขึ้นเพราะถูกจำเลยหลอกลวง
ถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้ก่อให้จำเลยกระทำความผิด โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยมีสิทธิร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงได้
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3
พิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะไม่มีอำนาจฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
โดยศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลชั้นต้นในเรื่องการปรับบทและกำหนดโทษจำเลย
สำหรับคดีส่วนแพ่งต้องบังคับตามคำพิพากษาตามยอม
พิพากษากลับ
ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ