โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์คือ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2529 จำเลยที่ 1 ได้นำเอาคำพิพากษาคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 12938/2529 ของศาลแขวงพระนครใต้ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาทและศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาให้ลงโทษจำคุกโจทก์ มีกำหนด 2 เดือน ไปยื่นเป็นพยานหลักฐานต่อศาลอาญา ซึ่งโจทก์ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเริ่ม ชื่นตา เป็นจำเลยในข้อหาความผิดต่อเจ้าพนักงานโดยจำเลยทั้งสามไปที่ศาลอาญาด้วยกัน และจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ได้เข้าเบิกความเป็นพยานยืนยันว่า โจทก์ถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกมีกำหนด 2 เดือน ทั้งนี้ โดยจำเลยทั้งสามมีความประสงค์จะให้บุคคลอื่นรู้ว่าโจทก์เป็นคนไม่ดีและเมื่อปลายปี 2529 จำเลยที่ 1 ได้ให้จำเลยที่ 2 นำเอาคำพิพากษาคดีดังกล่าวไปมอบให้แก่จำเลยที่ 3 เพื่อยื่นเป็นพยานหลักฐานต่อศาลแรงงานกลาง ซึ่งโจทก์เป็นโจทก์ฟ้องธนาคารออมสินเป็นจำเลย กับระหว่างเวลาปลายปี 2529 ถึงต้นปี 2530 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันนำเอาคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวไปให้นายไกรฤกษ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา กับพวกซึ่งโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยและทนายจำเลยในคดีดังกล่าวได้แถลงการณ์ปิดสำนวนว่าโจทก์ถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก ตามคดีอาญาที่จำเลยทั้งสามมอบคำพิพากษาให้ไปดังกล่าวด้วยนอกจากนี้จำเลยทั้งสามได้เอาคำพิพากษาคดีอาญาที่ลงโทษจำคุกโจทก์ดังกล่าวไปยื่นต่อผู้อำนายการธนาคารออมสินเพื่อให้พิจารณาลงโทษโจทก์ทางวินัย และจำเลยที่ 1นำคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวไปฟ้องโจทก์ว่าทำละเมิด และเรียกค่าเสียหายต่อศาลแพ่ง ทั้งนี้จำเลยทั้งสามกระทำการดังกล่าวโดยจงใจเพื่อแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียงอันเป็นการกระทำละเมิดต่อสิทธิของโจทก์โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระเงินจำนวน 622,500 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยทั้งสามไม่เคยร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ที่จำเลยที่ 1 นำเอาคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่12938/2529 ของศาลแขวงพระนครใต้ ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาทและศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาให้จำคุกโจทก์มีกำหนด 2 เดือนไปยื่นเป็นพยานหลักฐานในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6701/2529 ของศาลอาญา ก็เพราะนายเริ่ม จำเลยคดีดังกล่าวแต่งตั้งให้จำเลยที่ 1 เป็นทนายความจำเลยที่ 1จึงมีอำนาจกระทำไปเพื่อต่อสู้คดีโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายส่วนที่จำเลยที่ 1 แจ้งผลคดีดังกล่าวไปให้ผู้อำนวยการธนาคารออมสินทราบก็เพื่อให้ปฏิบัติตามระเบียบการธนาคารออมสิน โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย หากได้รับความเสียหายจริงความเสียหายของโจทก์ก็ไม่ถึงจำนวนที่เรียกร้องมา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว เหตุที่โจทก์ถูกออกจากงานเนื่องจากจำเลยที่ 1 ทำหนังสือร้องเรียนต่อธนาคารออมสินให้พิจารณาลงโทษโจทก์เนื่องจากโจทก์ถูกศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาจำคุก การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการแจ้งให้ธนาคารออมสินทราบเท่านั้น ธนาคารออมสินจะพิจารณาและมีคำสั่งลงโทษโจทก์หรือไม่เป็นเรื่องของธนาคารออมสิน แม้การที่จำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงธนาคารออมสินดังกล่าวเป็นการกระทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่ก็เป็นการใช้สิทธิในฐานะประชาชนที่จะเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ได้ ส่วนการที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 เบิกความต่อศาลถึงคำพิพากษาที่โจทก์ถูกลงโทษก็เป็นการกระทำตามหน้าที่ในฐานะพยาน อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย มิใช่เป็นการใช้สิทธิของจำเลยโดยเจตนาแกล้งให้โจทก์เสียหายฝ่ายเดียว ทั้งเป็นการไขข่าวตามความจริง จำเลยทั้งสามจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน.