คดีสองสำนวนนี้
ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์สำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 เรียกโจทก์สำนวนหลังว่า
โจทก์ที่ 2
ส่วนจำเลยที่ 1
ถึงที่ 5
ทั้งสองสำนวนเรียกตามเดิม
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่
19 กรกฎาคม 2550 ให้จำเลยที่ 1
ที่ 2 และที่ 4
ร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา และวันที่
9 มีนาคม 2552 จำเลยที่ 4
ได้นำเงินจำนวน 529,846.58
บาท มาวางศาลเพื่อเป็นการชำระหนี้ตามคำพิพากษาแต่ขอให้ศาลระงับการจ่ายเงินให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไว้ก่อนจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
ต่อมาวันที่ 21 เมษายน 2552 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่มีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่
1 ที่ 2 และที่ 4
ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ที่ 1
จำนวน 157,352 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ
7.5 ต่อปี
นับแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2548 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ที่
2 และที่ 4
ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ที่ 2
จำนวน 181,808.08
บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548
เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ร่วมกันใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ที่ 1 จำนวน 4,000 บาท แทนโจทก์ที่ 2 จำนวน 4,000 บาท
คดีเป็นอันถึงที่สุด เนื่องจากศาลไม่รับรองให้จำเลยที่
1 ที่ 2 และที่ 4
ฎีกา ต่อมาวันที่ 22
เมษายน 2553
โจทก์ทั้งสองได้มาขอรับเงินชำระหนี้ที่จำเลยที่ 4 วางไว้ต่อศาล โดยโจทก์ที่ 1 รับไปเป็นเงินจำนวน 201,390.48 บาท โจทก์ที่ 2
รับไปเป็นเงินจำนวน
234,723.06
บาท
วันที่
16 ตุลาคม 2560 จำเลยที่ 4
ยื่นคำแถลงขอรับเงินวางศาลเพื่อชำระหนี้ที่เหลือจากที่โจทก์ทั้งสองได้รับไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำแถลงเนื่องจากมีการนำส่งเงินดังกล่าวเป็นรายได้แผ่นดินไปแล้ว
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 4
ฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 4 มีว่า เงินวางศาลของจำเลยที่ 4 ที่คงเหลือภายหลังจากโจทก์ที่ 1 และที่ 2
รับไปแล้ว เป็นเงินค้างจ่ายที่จำเลยที่ 4
ต้องเรียกเอาภายในห้าปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 323 (เดิม) หรือไม่ เห็นว่า
วันที่ 9
มีนาคม 2552
จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องและได้นำเงินจำนวน 529,846.58 บาท
มาวางที่ศาลชั้นต้นเพื่อเป็นการชำระหนี้ตามคำพิพากษา
แต่ขอให้ศาลระงับการจ่ายเงินให้โจทก์ที่ 1
และที่ 2
ไว้ก่อนจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินที่โจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับเพื่อการชำระหนี้หากคดีถึงที่สุดโดยจำเลยที่
4 ต้องรับผิดชำระหนี้ต่อโจทก์ที่
1 และที่ 2 ต่อมาเมื่อคดีถึงที่สุดโดยจำเลยที่ 4 ต้องรับผิด โจทก์ที่ 1 และที่
2
ได้ขอรับเงินที่จำเลยที่ 4
นำมาวางศาลดังกล่าวไปในวันที่ 22
เมษายน 2553
จำนวน 201,390.48
บาท และ 234,723.06
บาท ตามลำดับ คงเหลือเงินในวันดังกล่าว 105,843.04 บาท
ศาลชั้นต้นจึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการให้จำเลยที่ 4 ผู้มีสิทธิได้รับเงินที่เหลือทราบ
หากจำเลยที่ 4
ทราบแล้วไม่มารับเงินภายในห้าปี
เงินดังกล่าวจึงจะถือว่าเป็นเงินค้างจ่ายและทำให้ตกเป็นของแผ่นดิน
แต่คดีนี้หลังจากโจทก์ที่ 1
และที่ 2
รับเงินแล้วปรากฏว่ามีเงินคงเหลือ ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อให้จำเลยที่ 4 ผู้มีสิทธิรับเงินทราบ ตามบันทึกข้อความของนักวิชาการเงินและบัญชีชำนาญการของศาลชั้นต้นลงวันที่
19 ตุลาคม 2560 เงินดังกล่าวจึงยังไม่เป็นเงินค้างจ่ายอยู่ที่ศาลชั้นต้นที่ผู้มีสิทธิต้องเรียกเอาเสียภายในห้าปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 323 (เดิม) และยังไม่ตกเป็นของแผ่นดิน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค
1
พิพากษายืนให้ยกคำแถลงขอรับเงินคืนของจำเลยที่ 4 ตามศาลชั้นต้น จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
ฎีกาของจำเลยที่ 4
ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้จำเลยที่
4
รับเงินที่วางศาลเพื่อชำระหนี้แล้วคงเหลือจำนวน 105,843.04 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามชั้นศาลให้เป็นพับ