โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 91, 180
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบ โดยอ้างว่าศาลชั้นต้นไม่บันทึกคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 1 ในประเด็นลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ตายและลายมือชื่อในพินัยกรรมปลอม โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากโจทก์ซึ่งเบิกความเป็นพยานเพียงว่า เหตุที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าเนื่องจากมีการฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีที่ศาลแพ่งกล่าวหาว่าพินัยกรรมของภริยาโจทก์ปลอม ตามคดีหมายเลขดำที่ พ. 5072/2561 คดีหมายเลขแดงที่ พ. 1886/2563 ซึ่งไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่เท่านั้น ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งว่าคดีมีมูลสำหรับจำเลยที่ 1 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การไต่สวนมูลฟ้องเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับศาลเพื่อให้ศาลได้ทราบข้อเท็จจริงเพื่อวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์มีมูลหรือไม่ จำเลยไม่มีอำนาจนำพยานมาสืบ แต่มีสิทธิตั้งทนายมาซักค้านพยานโจทก์ได้ การที่ศาลมีคำสั่งว่าคดีมีมูลก็เป็นเพียงแต่ให้ศาลประทับฟ้องไว้พิจารณาต่อไปเท่านั้น หากในชั้นพิจารณาปรากฏว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดดังโจทก์ฟ้อง ศาลก็มีอำนาจยกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 สำหรับคดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาวินิจฉัยพยานหลักฐานแล้วมีคำสั่งว่าคดีมีมูลเฉพาะจำเลยที่ 1 แม้ว่าศาลชั้นต้นจะมิได้บันทึกคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 1 ที่ถามค้านโจทก์ในประเด็นเกี่ยวกับลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ตายและลายมือชื่อของพยานในพินัยกรรมปลอมโดยอ้างว่าไม่เกี่ยวกับประเด็นในคดีนี้ก็ตาม ก็เป็นการใช้ดุลพินิจในการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเกี่ยวกับการรับฟังข้อเท็จจริง หาใช่เป็นการยกเอาข้อเท็จจริงนอกสำนวนความและเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบแต่อย่างใดไม่ คำสั่งดังกล่าวได้แสดงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายพร้อมเหตุผลประกอบตามสมควรแล้ว คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งว่าคดีมีมูลสำหรับจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมาย และคำสั่งดังกล่าวย่อมเด็ดขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 จำเลยที่ 1 จะอุทธรณ์ฎีกาต่อไปอีกหาได้ไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ในทำนองโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งให้คดีมีมูล จึงต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน