โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า นายประมุขเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2973 เนื้อที่ประมาณ 2 งาน 13 ตารางวา พร้อมบ้านเลขที่ 30 ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2500 นายไฮ้และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 2 ทำสัญญาอยู่อาศัยบ้านเลขที่ 30 กับนายประมุขตกลงว่านายไฮ้และจำเลยที่ 1 ต้องดูแลรักษา บูชาแท่นบูชาบรรพบุรุษในบ้านให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยคงเดิม ต่อมานายประมุขถึงแก่ความตายโจทก์ทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนายประมุขผู้ตาย เมื่อประมาณปลายปี 2543 จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันทุบรื้อทำลายบ้านดังกล่าวได้รับความเสียหายทั้งหลังคิดเป็นเงินไม่น้อยกว่า 400,000 บาท โจทก์ทั้งสองสามารถนำที่ดินและบ้านให้บุคคลภายนอกเช่าได้ค่าเช่าเดือนละไม่น้อยกว่า 20,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหาย 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จสิ้น ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2973 ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจากบ้านเลขที่ 30 ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2973 ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 22 มีนาคม 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกไปจากบ้านเลขที่ 30 ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 5,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2973 ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีนี้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนายประมุขเจ้ามรดกตามคำสั่งศาลฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินและบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินและเรียกค่าเสียหาย แม้จะกล่าวอ้างว่าอาจนำไปให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละไม่น้อยกว่า 20,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นยกคำขอค่าเสียหายจำนวน 400,000 บาท และกำหนดให้ชำระค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท โจทก์ทั้งสองมิได้อุทธรณ์ แต่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นให้ค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท โจทก์มิได้ฎีกา จึงถือได้ว่าที่ดินพิพาทและบ้านอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ทั้งจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง และการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัย ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 9 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ นายประมุขเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทพร้อมบ้านเลขที่ 30 (เดิม) ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี วันที่ 14 กรกฎาคม 2512 นายประมุขถึงแก่ความตาย โจทก์ทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนายประมุข การที่นายไฮ้และจำเลยที่ 1 อาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 30 (เดิม) เป็นการอยู่อาศัยโดยนายประมุขอนุญาตให้อยู่โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาอันเป็นบุคคลสิทธิ ทั้งมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง จึงมิใช่สิทธิอาศัยอันเป็นทรัพยสิทธิตามกฎหมายต่อมาจำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านเลขที่ 30 แล้วปลูกบ้านหลังใหม่ในที่ดินโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งสอง ถือว่าจำเลยที่ 1 ประพฤติผิดสัญญา สำหรับค่าเสียหายจำนวน 400,000 บาท ตามฟ้องนั้น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ามีการสร้างบ้านเลขที่ 30 (ใหม่) ทดแทนเท่ากับค่าเสียหายที่รื้อบ้านเลขที่ 30 (เดิม) แล้ว จึงไม่กำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้ คู่ความไม่อุทธรณ์จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านเลขที่ 30 (เดิม) และปลูกบ้านเลขที่ 30 (ใหม่) โดยได้รับความยินยอม โจทก์นำสืบพยานหลักฐานไม่สมฟ้องและสัญญาให้สิทธิอาศัยไม่มีกำหนดระยะเวลาล้วนเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้น แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวมาก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองหรือไม่โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า การที่นายไฮ้และจำเลยที่ 1 อาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 30 เป็นการอยู่อาศัยโดยนายประมุขอนุญาต แม้ไม่ได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานก็เป็นบุคคลสิทธิที่ใช้บังคับได้ โจทก์ทั้งสองเป็นเพียงผู้จัดการมรดกของนายประมุขเท่านั้น จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองนั้น เห็นว่า แม้การอยู่อาศัยที่นายประมุขได้ให้ไว้แก่นายไฮ้และจำเลยที่ 1 จะเป็นบุคคลสิทธิใช้ยันโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกนายประมุขให้ปฏิบัติตามได้ก็ตาม แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1402 บัญญัติว่า "บุคคลใดได้รับสิทธิอาศัยในโรงเรือน บุคคลนั้นย่อมมีสิทธิอยู่ในโรงเรือนนั้นโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า" และมาตรา 1408 บัญญัติว่า "เมื่อสิทธิอาศัยสิ้นลงผู้อาศัยต้องส่งทรัพย์สินคืนแก่ผู้ให้อาศัย" เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า บ้านเลขที่ 30 (เดิม) ซึ่งเป็นโรงเรือนได้ถูกรื้อถอนไปแล้วโดยจำเลยทั้งสองเช่นนี้ สิทธิอาศัยที่นายไฮ้และจำเลยที่ 1 ได้ทำไว้กับนายประมุขย่อมสิ้นลงจึงไม่มีโรงเรือนอันจะมีสิทธิอาศัยตามบทกฎหมายข้างต้น การที่จำเลยทั้งสองปลูกบ้านเลขที่ 30 (ใหม่) ขึ้นแทนภายหลังจากที่นายประมุขถึงแก่ความตายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งสองก็หาก่อให้เกิดสิทธิอาศัยขึ้นมาใหม่แต่อย่างใดไม่และการที่จำเลยทั้งสองปลูกบ้านเลขที่ 30 (ใหม่) ในที่ดินพิพาทโดยไม่ได้รับความยินยอม บ้านเลขที่ 30 (ใหม่) จึงเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาทตกเป็นของเจ้าของที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 144 ทั้งเป็นการปลูกโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1311 การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ 30 (ใหม่) เช่นนี้พอถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายประมุขประสงค์จะให้บ้านเลขที่ 30 (ใหม่) ซึ่งเป็นโรงเรือนคงอยู่ตามมาตรา 1311 ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองซึ่งไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ 30 (ใหม่) ดังวินิจฉัยมาแล้วเช่นนี้ โจทก์ทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายประมุขชอบที่จะจัดการมรดกโดยทั่วไปหรือทำการใด ๆ ในทางจัดการตามที่จำเป็นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 และมาตรา 1736 วรรคสอง จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวแต่อย่างใด สำหรับคำพิพากษาฎีกาที่จำเลยทั้งสองอ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล"
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ