โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 555,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ 555,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่นายถิรายุ ผู้เอาประกันภัยกับจำเลยตกลงค่าเสียหายในส่วนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยตามบันทึกการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน และจำเลยชำระเงินให้แก่นายถิรายุครบถ้วนตามข้อตกลงแล้ว มีผลทำให้สิทธิเรียกร้องของนายถิรายุระงับสิ้นไป โจทก์จึงไม่สามารถรับช่วงสิทธิมาฟ้องจำเลยหรือไม่ ก่อนจะวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยดังกล่าว เห็นควรวินิจฉัยก่อนว่าจำเลยได้ให้การต่อสู้ในประเด็นนี้หรือไม่ เห็นว่า จำเลยได้ให้การต่อสู้ตอนหนึ่งว่า จำเลยและบริษัทประกันคุ้มภัย จำกัด (มหาชน) ผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์และผู้เสียหายเรียบร้อยแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เช่นนี้พอถือได้ว่ามีประเด็นว่ามูลหนี้ละเมิดระหว่างจำเลยกับนายถิรายุผู้เอาประกันภัยเป็นอันระงับสิ้นไปตามบันทึกการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โจทก์ไม่สามารถรับช่วงสิทธิมาฟ้องจำเลยแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่าคดีไม่มีประเด็นดังกล่าวและพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยนั้น ไม่ถูกต้อง แต่เมื่อคู่ความได้นำสืบพยาน หลักฐานครบถ้วนมาแล้ว ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยคดีไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยก่อน เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจำนวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น" เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ก่อวินาศภัย โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายถิรายุผู้เอาประกันภัยไปแล้ว โจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของนายถิรายุผู้เอาประกันภัยตามบทบัญญัติดังกล่าว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายที่ยังขาดอยู่ได้ บันทึกการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างนายถิรายุ ผู้เอาประกันกับจำเลยเท่านั้น หาใช่สัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่ แม้มูลหนี้ละเมิดระหว่างจำเลยกับนายถิรายุผู้เอาประกันภัยจะระงับสิ้นไปตามบันทึกการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ตาม แต่ไม่มีผลผูกพันโจทก์ซึ่งมิใช่คู่สัญญา โจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของนายถิรายุ ผู้เอาประกันภัยได้ตามบทบัญญัติมาตรา 880 วรรคหนึ่ง ส่วนฎีกาของจำเลยที่ขอให้หักเงินที่จำเลยชำระให้แก่นายถิรายุไปบางส่วนแล้วนั้น เห็นว่า โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยฟ้องคดีโดยรับช่วงสิทธิของนายถิรายุผู้เอาประกันภัยที่มีต่อจำเลย สิทธิของโจทก์จึงมีเท่ากับสิทธิของนายถิรายุผู้เอาประกันภัยที่มีอยู่โดยมูลหนี้ต่อจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 วรรคหนึ่ง ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยได้ชำระเงินในมูลหนี้ค่าเสียหายในส่วนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยให้แก่นายถิรายุไปแล้วเป็นเงิน 180,000 บาท สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับค่าเสียหายจากจำเลยย่อมลดลงตามสิทธิของนายถิรายุผู้เอาประกันภัยที่มีอยู่ จึงให้หักเงินจำนวนดังกล่าวออกจากค่าเสียหายที่ยังขาดอยู่จำนวน 555,000 บาท ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 375,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ