โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 188, 264, 268
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 (เดิม), 264 วรรคหนึ่ง (เดิม), 268 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 264 วรรคหนึ่ง (เดิม) ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยทั้งสามร่วมกันเป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารปลอมด้วยตนเอง ให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมกระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกคนละ 5 ปี
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 (เดิม), 264 วรรคแรก (เดิม), 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก (เดิม) ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 จำคุกคนละ 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์แม้จะแยกฟ้องถึงการกระทำผิดของจำเลยทั้งสามมาเป็น 3 ข้อ คือ ข้อ 1.1 ถึงข้อ 1.3 แต่ตามคำฟ้องข้อ 1.1 และข้อ 1.2 โจทก์ระบุวันเวลากระทำผิดอย่างเดียวกัน คือ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2559 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด โดยบรรยายการกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องข้อ 1.1 ว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารโฉนดที่ดินของผู้เสียหาย และบรรยายการกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องข้อ 1.2 ว่า ตามวันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 1.1 ภายหลังเกิดเหตุตามฟ้องข้อ 1.1 แล้ว วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสามร่วมกันทำปลอมหนังสือมอบอำนาจ (ท.ด. 21) ขึ้นทั้งฉบับ และบรรยายการกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องข้อ 1.3 ว่า วันที่ 1 มีนาคม 2559 เวลากลางวัน ภายหลังจากที่จำเลยทั้งสามกระทำผิดตามฟ้องข้อ 1.2 แล้ว จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เอกสารหนังสือมอบอำนาจปลอมที่จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องข้อ 1.2 ใช้อ้างแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องโจทก์แต่ละข้อล้วนเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกัน โดยจำเลยทั้งสามมีเจตนาอย่างเดียวคือเพื่อจะทำสัญญาขายฝากที่ดินของผู้เสียหายกับนางกิ่งจันทร์ให้ได้ นางกิ่งจันทร์จะได้มอบเงินตามสัญญาดังกล่าวให้จำเลยทั้งสาม การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่เป็นการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมดังที่โจทก์ฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน