โจทก์ฟ้องว่า  เมื่อ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๐๒  จำเลยรับฝากสินค้าของโจทก์  คือเครื่องรับวิทยุกระเป๋าหิ้ว  และลำโพงขยายเสียงรวม ๑ หีบ  โจทก์ชำระราคาและค่าใช้จ่ายให้แก่ธนาคารแห่งประเทศจีนซึ่งเป็นตัวแทนเรียกเก็บของผู้ขายเป็นเงิน ๒๓,๐๐๓.๒๓ บาท แล้วไปขอรับสินค้าจากจำเลย ๆ ไม่มีมอบให้  โจทก์ทวงถามก็ผัดเรื่อยมา  ที่สุดจำเลยขอร้องให้โจทก์ยอมรับค่าเสียหายจากจำเลยเพียงครึ่งหนึ่งเป็นเงิน ๑๑,๕๐๑.๖๒ บาท  โจทก์ไม่ตกลงได้แจ้งให้จำเลยทราบแล้ว  ก็เพิกเฉย  จึงฟ้องขอให้จำเลยใช้เงิน ๒๓,๐๐๓.๒๓ บาท
จำเลยให้การว่า  รับฝากสินค้าไว้จริง  แต่โจทก์มิได้แจ้งราคาที่แท้จริงของสินค้าที่ฝากให้จำเลยทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือตามข้อบังคับ  จำเลยจึงยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ ๕,๐๐๐ บาท  ตามข้อบังคับ  โจทก์ไม่ยอม มีการเจรจากัน  ที่สุดเพื่อมิให้ยุ่งยาก  จำเลยจะชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๑๑,๕๐๑.๖๒ บาท  โจทก์ไม่ตกลง  โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน ๖ เดือน  จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๗๑  ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว  กำหนดประเด็นวินิจฉัยว่า
๑.ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
๒.จำเลยมีข้อบังคับตามที่อ้างหรือไม่
๓.โจทก์ได้ทราบข้อบังคับนี้หรือไม่
๔.จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นจำนวนเท่าใด
แล้ววินิจฉัยประเด็นข้อ ๑ ว่า  คดีนี้เป็นเรื่องขอรับใช้ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากสิ่งของของโจทก์ที่หายไป  แต่โจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน ๖ เดือน  นับแต่วันสิ้นสัญญา  เอกสาร จ.๑  ก็ไม่ใช่การรับสภาพหนี้  คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๗๑  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า  จำนวนเงินที่โจทก์ฟ้องเรียกก็คือราคาทรัพย์สินที่จำเลยรับฝากไว้นั่นเอง  หาใช่ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวศาลชั้นต้นกล่าวไม่  คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ  พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น  ให้ศาลวินิจฉัยคดีไปตามประเด็นที่ได้ตั้งไว้แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว  จำเลยได้มีหนังสือหมาย ล.๗  ลงวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๐๓  แจ้งให้ผู้จัดการบริษัทอีสเอเซียติ๊ก จำกัด  ผู้ส่งมอบสินค้ารายนี้ทราบว่ายังค้นหาหีบดังกล่าวไม่พบจึงไม่อาจส่งมอบสินค้าให้แก่โจทก์ได้  จำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ ๕,๐๐๐ บาท  ตามระเบียบ  ต่อมาโจทก์มีหนังสือหมาย ล.๖  ลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๐๓  ตอบปฏิเสธมายังจำเลยในเรื่องที่จำเลยขอชดใช้ค่าเสียหายให้ ๕,๐๐๐ บาท  ต่อมาได้มีการเจรจากัน  ในที่สุดจำเลยยอมใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ครึ่งหนึ่งของราคาสินค้าเป็นเงิน ๑๑,๕๐๑.๖๒ บาท  ตามเอกสารหมาย จ. ๑  แต่โจทก์ไม่ตกลง  ดังนี้  ศาลฎีกาเห็นว่า  ตามเอกสารหมาย ล.๗  และ จ.๑  ที่จำเลยยอมชดใช้ค่าสินค้าที่หายรายนี้ให้โจทก์นั้น  เป็นการรับอยู่แล้วว่าหนี้สินค้าสินค้าของโจทก์ที่หายมีอยู่จริง  การที่จำเลบขอลดค่าชดใช้ลงตามข้อบังคับโดยอ้างว่าโจทก์มิได้แจ้งราคาสินค้าอันแท้จริงให้จำเลยทราบก็ดี  เพื่อตัดข้อยุ่งยากในการต่อสู้คดีทางศาลก็ดี  เป็นเรื่องที่จำเลยอ้างขึ้นเพื่อลดหย่อนภาระในการชำระหนี้เท่านั้น  หาได้ปฏิเสธความรับผิดในหนี้รายนี้ไม่  พฤติการณ์ดังกล่าวเรียกได้ว่าจำเลยยอมรับสภาพหนี้  ชดใช้ค่าสินค้าของโจทก์ที่หายไปแล้ว
อายุความฟ้องร้องย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒  ฉะนั้น  หากแม้จะฟังว่าเป็นการเรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๗๑  ซึ่งห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลา ๖ เดือนก็ตาม  นับแต่วันที่จำเลยมีหนังสือ จ. ๑  ลงวันที่ ๒๗  เมษายน ๒๕๐๔  รับสภาพหนี้ต่อโจทก์จนถึงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๐๔  ซึ่งเป็นวันฟ้องคดีนี้  ก็ยังไม่พ้น ๖ เดือน  คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
จึงพิพากษายืนในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์