โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 279
ระหว่างพิจารณา เด็กหญิง อ. ผู้เสียหาย โดยนาง ว. ยายของผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้แทนเฉพาะคดียื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสองและวรรคห้า ประกอบมาตรา 80 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยใช้นิ้วมือล่วงล้ำอวัยวะเพศ จำคุก 12 ปี ฐานพยายามกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี จำคุก 2 ปี 8 เดือน ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยใช้นิ้วมือล่วงล้ำอวัยวะเพศ คงจำคุก 6 ปี ฐานพยายามกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี คงจำคุก 2 ปี รวมจำคุก 9 ปี 4 เดือน
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก (เดิม), 279 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบมาตรา 80 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยใช้นิ้วมือล่วงล้ำอวัยวะเพศ จำคุก 4 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี รวมจำคุก 5 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมในประการแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดตามฟ้องข้อ 1.1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก (เดิม) ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด... การกระทำของจำเลยตามฟ้องข้อ 1.1 เมื่อประมาณปลายเดือนเมษายน 2562 โดยจำเลยใช้นิ้วมือสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายนั้น เป็นความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม (เดิม) ที่ใช้ในขณะกระทำความผิด แต่ภายหลังจำเลยกระทำความผิดและก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 ใช้บังคับเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 บัญญัติให้การกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดฐานกระทำชำเราอีกต่อไป แต่เป็นความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยการล่วงล้ำอวัยวะเพศตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคห้า (ที่แก้ไขใหม่) ซึ่งความผิดฐานกระทำอนาจารตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ดังกล่าวเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 (ที่แก้ไขใหม่) จึงชอบด้วยมาตรา 3 และเป็นบทกฎหมายที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ซึ่งศาลย่อมลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยการล่วงล้ำอวัยวะเพศตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคห้า (ที่แก้ไขใหม่) ที่เป็นคุณแก่จำเลยมากกว่านั้น มิใช่ตามมาตรา 279 วรรคแรก (เดิม) ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย ฎีกาของโจทก์ร่วมในข้อนี้ฟังขึ้น แต่ความผิดตามมาตรา 279 วรรคห้า (ที่แก้ไขใหม่) มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต เท่ากับระวางโทษตามมาตรา 277 วรรคสาม (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิด ในส่วนระวางโทษตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลย ศาลต้องกำหนดโทษจำเลยตามมาตรา 277 วรรคสาม (เดิม) และเมื่อโทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดให้จำคุก 4 ปี ก่อนลดโทษนั้น ต่ำกว่าโทษขั้นต่ำตามระวางโทษดังกล่าว แต่โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้นด้วย ศาลฎีกาจึงแก้ไขกำหนดโทษให้ถูกต้องได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมในประการต่อไปมีว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานหนักโดยไม่ลดโทษให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 31 ปีเศษ ควรรู้ผิดชอบชั่วดีแล้ว แต่จำเลยกลับอาศัยความเป็นบิดาเลี้ยงที่สามารถครอบงำและใกล้ชิดผู้เสียหายกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุเพียง 11 ปีเศษ โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายแก่ชีวิตและอนาคตของผู้เสียหาย ทั้งเกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมและศีลธรรมอันดีของประชาชน พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยเป็นเรื่องที่ร้ายแรง และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่น ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นกว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนด ส่วนที่โจทก์ร่วมฎีกาว่าไม่ควรลดโทษให้แก่จำเลยกึ่งหนึ่ง เนื่องจากจำเลยรับสารภาพเพราะจำนนต่อพยานหลักฐานนั้น เห็นว่า คดีนี้จำเลยขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธเป็นให้การรับสารภาพตามฟ้อง โดยโจทก์และโจทก์ร่วมยังมิได้สืบพยาน จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการรับสารภาพเพราะจำนนต่อพยานหลักฐานคำรับสารภาพของจำเลยเป็นการให้ความรู้แก่ศาล อีกทั้งจำเลยยังได้พยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้นโดยวางเงิน 30,000 บาท ต่อศาลชั้นต้น เพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย อันเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ที่ศาลล่างทั้งสองลดโทษให้แก่จำเลยกึ่งหนึ่งเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของโจทก์ร่วมในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก (เดิม), 279 วรรคสองและวรรคห้า (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบมาตรา 80 ความผิดตามฟ้องข้อ 1.1 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยการล่วงล้ำอวัยวะเพศตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคห้า (ที่แก้ไขใหม่) ให้กำหนดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม (เดิม) จำคุก 7 ปี ความผิดตามฟ้องข้อ 1.2 ฐานพยายามกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก (เดิม) ประกอบมาตรา 80 จำคุก 4 ปี และความผิดตามฟ้องข้อ 1.3 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) จำคุก 6 ปี รวมจำคุก 17 ปี เมื่อลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 8 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2