โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๒๘ จำเลยได้กู้เงินโจทก์จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท สัญญาให้ดอกเบี้ยชั่งละ ๑ บาทต่อเดือน ต่อมาโจทก์ไม่มีความประสงค์ให้จำเลยกู้เงินจึงบอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินแต่จำเลยไม่ชำระ ขอให้จำเลยชำระเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย ๔ ปีเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ จำเลยประสงค์จะขายฝากเรือนที่ปลูกในที่ดินของวัดซังซิสเซเวียให้โจทก์ราคา ๕๐,๐๐๐ บาทมีกำหนด ๓ ปีแต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าต้องปิดประกาศก่อนเมื่อครบกำหนดแล้วจึงจะทำสัญญาขายฝากให้ ก่อนประกาศครบกำหนดจำเลยจำเป็นต้องใช้เงินจึงได้ขอรับเงินจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท จากโจทก์ไปก่อน โจทก์ยอมแต่ให้จำเลยทำสัญญากู้เงินให้โจทก์และจ่ายเช็คค้ำประกันเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ไว้ ต่อมาวันที่๑๙ มีนาคม ๒๕๑๘ จำเลยได้ทำสัญญาขายฝากเรือนดังกล่าวให้โจทก์ โจทก์คืนเช็คให้จำเลย ส่วนสัญญากู้อ้างว่าหายไป ต่อมาเมื่อใกล้ครบกำหนดไถ่ถอนการขายฝาก โจทก์ไม่ยอมให้ไถ่ถอน จำเลยจึงฟ้องโจทก์ในที่สุดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์ยอมรับเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทไปและยอมให้จำเลยไถ่ถอนการขายฝาก สัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้องได้แปลงหนี้เป็นสัญญาขายฝาก และจำเลยได้ชำระเงินตามสัญญาขายฝากแล้ว ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญากู้ตามฟ้องได้ยกเลิกไปโดยการแปลงหนี้ใหม่โดยการจดทะเบียนการขายฝากและจำเลยได้ไถ่ถอนการขายฝากแล้ว จึงไม่มีหนี้สินใด ๆ ที่จะต้องชดใช้ให้โจทก์อีก พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ในปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเปลี่ยนหนี้เงินกู้เป็นขายฝาก อันเป็นการแปลงหนี้ใหม่หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าการกู้เงินรายนี้ทำขึ้นระหว่างที่จำเลยรอเวลาทำนิติกรรมขายฝากเรือนให้แก่โจทก์ สัญญากู้ตามเอกสารหมาย จ.๑ ซึ่งศาลชั้นต้นเรียกจากโจทก์ตามคำขอของจำเลยมีสำเนาเช็คที่จำเลยออกให้ปิดทับสัญญาข้อ ๓ และข้อ ๔ ไว้ พลตำรวจตรีนิรุธ ไกรฤกษ์ พยานจำเลยซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญของศาลได้ตรวจพิสูจน์แล้ว เห็นว่าข้อความตรงที่เช็คปิดทับอยู่นั้น ตรวจพบข้อความตัวพิมพ์ดีดดังนี้ ข้อ ๓ อ่านได้ความว่า "๑๒ มีนาคม ๒๕๒๑" และ "มีนาคม" ข้อ ๔ อ่านได้ว่า "ผู้กู้จะชำระ" และเมษายน ๒๕๑๘ เป็นต้นไป ดังนั้น สัญญากู้ดังกล่าวจึงเชื่อได้ว่า ความในข้อ ๓ มีว่า ผู้กู้ยอมสัญญาว่าจะนำเงินที่กู้นี้มาชำระแก่ผู้ให้กู้ภายในวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๒๑เห็นได้ว่าจำนวนเงินตามสัญญากู้และสัญญาขายฝากเท่ากัน กำหนดชำระภายใน ๓ ปีเท่ากัน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์แล้วได้ตกลงเปลี่ยนสัญญากู้นั้นเป็นสัญญาขายฝากเรือน เป็นการทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ ทำให้หนี้เงินกู้เป็นอันระงับสิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๔๙ โจทก์จะฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยหาได้ไม่
พิพากษายืน