โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงยุติว่า จำเลยซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน ได้บังอาจประกอบอาชีพการตัดผมอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยกรรไกรปัตเลี่ยนมือ 1 อัน กรรไกรแหลม 1 อัน มีดโกน 1 เล่ม แปรงอ่อน 1 อัน ที่ปัดผม1 อัน ผ้าคลุม 1 ผืน หวี 1 เล่ม ธนบัตร 5 บาท ซึ่งเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการตัดผม และได้มาโดยการกระทำความผิดเป็นของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยผิดตามพระราชบัญญัติช่วยอาชีพและวิชาชีพ พ.ศ. 2484 มาตรา 3, 4, 5 พระราชกฤษฎีกากำหนดอาชีพและวิชาชีพไว้สำหรับเฉพาะคนไทย พ.ศ. 2492 มาตรา 4, 5 ปรับ 100 บาท ของกลางไม่ริบ เพราะการกระทำของจำเลยไม่รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพนั้น ไม่เข้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ริบของกลาง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การประกอบอาชีพการตัดผมไม่ใช่เป็นความผิดในตัวจากการกระทำนั้น เป็นเรื่องทางการไม่อนุญาตให้จำเลยกระทำได้ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินอันควรริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติช่วยอาชีพและวิชาชีพ พ.ศ. 2484ประกอบกับพระราชกฤษฎีกากำหนดอาชีพและวิชาชีพ พ.ศ. 2492 บัญญัติไว้ว่า อาชีพการตัดผมให้เป็นอาชีพสำหรับเฉพาะคนไทย จำเลยซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวไม่มีสิทธิที่จะประกอบอาชีพตัดผมโดยเด็ดขาดและไม่มีทางที่จะได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพตัดผมได้เลย เพราะทางการสงวนให้เป็นอาชีพเฉพาะคนไทยเท่านั้น ฉะนั้น การกระทำของจำเลยจึงถือได้ว่าเป็นการกระทำความผิดเพราะฝ่าฝืนกฎหมายที่ได้กำหนดไว้ในตัว ไม่ใช่เป็นการกระทำความผิด เพราะไม่ได้รับอนุญาต ของกลางรายนี้จึงเป็นของที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด และได้มาโดยได้กระทำความผิด ต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ซึ่งนอกจากจะริบตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ยังให้ศาลมีอำนาจสั่งริบตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 33 อีกด้วย (อ้างนัยฎีกาที่ 456/2505)พิพากษาแก้ให้ริบของกลาง