โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสิบสามตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 38, 55, 72, 72 ทวิ, 74, 78 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 83, 91, 135/1, 135/2, 209, 210, 218 (1), 221, 288, 289, 360, 371, 376 พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2535 มาตรา 39, 72 และริบของกลางที่เจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้
จำเลยทั้งสิบสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 10, ที่ 12 ถึงที่ 17 ในสำนวนแรกยื่นคำร้องขอให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 1 เป็นเงิน 1,015,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2 เป็นเงิน 1,010,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 3 เป็นเงิน 1,140,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 4 เป็นเงิน 1,150,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 5 เป็นเงิน 1,017,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 6 เป็นเงิน 1,335,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 7 เป็นเงิน 1,017,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 8 เป็นเงิน 1,500,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 9 เป็นเงิน 1,017,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 10 เป็นเงิน 1,017,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 12 เป็นเงิน 50,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 13 เป็นเงิน 1,050,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 14 เป็นเงิน 51,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 15 เป็นเงิน 52,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 16 เป็นเงิน 51,000 บาท และแก่ผู้เสียหายที่ 17 เป็นเงิน 1,000,000 บาท ส่วนในสำนวนหลัง ผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 12, ที่ 14 ถึงที่ 17 ยื่นคำร้องขอให้จำเลยที่ 12 และที่ 13 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ดังนี้ ร้อยตำรวจเอก ย. ผู้เสียหายที่ 1 เป็นเงิน 1,020,000 บาท สิบตำรวจตรี ธ. ผู้เสียหายที่ 2 เป็นเงิน 1,010,000 บาท สิบตำรวจตรี อ. ผู้เสียหายที่ 3 เป็นเงิน 1,043,000 บาท สิบตำรวจตรี จ. ผู้เสียหายที่ 4 เป็นเงิน 1,000,000 บาท สิบตำรวจตรี ป. ผู้เสียหายที่ 5 เป็นเงิน 1,025,000 บาท สิบตำรวจตรี ส. ผู้เสียหายที่ 6 เป็นเงิน 1,300,000 บาท สิบตำรวจตรี ฮ. ผู้เสียหายที่ 7 เป็นเงิน 1,000,000 บาท สิบตำรวจตรี ร. ผู้เสียหายที่ 9 เป็นเงิน 1,000,000 บาท สิบตำรวจตรี ว. ผู้เสียหายที่ 10 เป็นเงิน 1,030,000 บาท พันตำรวจโท ฐ. ผู้เสียหายที่ 11 เป็นเงิน 1,000,000 บาท ร้อยตำรวจโท พ. ผู้เสียหายที่ 12 เป็นเงิน 500,000 บาท สิบตำรวจโท ต. ผู้เสียหายที่ 14 เป็นเงิน 50,000 บาท สิบตำรวจ ง. ผู้เสียหายที่ 15 เป็นเงิน 53,000 บาท สิบตำรวจ ศ. ผู้เสียหายที่ 16 เป็นเงิน 50,000 บาท และสิบตำรวจตรี ก. ผู้เสียหายที่ 17 เป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ให้การในคดีส่วนแพ่งว่าขอให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 12 และที่ 13 ไม่ให้การในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 9 ที่ 10 และที่ 12 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (1) วรรคหนึ่ง, 135/2 (2), 209 วรรคหนึ่ง (เดิม), 210 วรรคสอง (เดิม), 218 (1), 221, 289 (2) (4) ประกอบมาตรา 80, (ที่ถูกต้องระบุมาตรา 83) 360, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 38 วรรคหนึ่ง, 55, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง, 74, 78 วรรคหนึ่ง วรรคสาม พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2535 มาตรา 39, 72 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/2 (2), 209 วรรคหนึ่ง (เดิม) การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 9 ที่ 10 และที่ 12 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้าย ฐานร่วมกันมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน และฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนและมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ฐานร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่และโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฐานร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือนที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยฐานร่วมกันก่อให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ฐานร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ฐานร่วมกันปิดกั้นทางหลวงหรือวางวัตถุที่แหลมหรือมีคมในลักษณะที่อาจเกิดอันตรายหรือเสียหายแก่ยานพาหนะหรือบุคคล ฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชนเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 9 ที่ 10 และที่ 12 จำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันรู้ว่าจะมีผู้ก่อการร้ายแล้วปกปิดไว้ จำคุกคนละ 3 ปี ฐานเป็นซ่องโจร จำคุกคนละ 2 ปี ฐานเป็นอั้งยี่ จำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) (ที่ถูก ต้องระบุว่าข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก) สำหรับจำเลยที่ 2 ฐานเป็นอั้งยี่ จำคุก 2 ปี ฐานรู้ว่าจะมีผู้จะก่อการร้ายแล้วปกปิดไว้ จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 5 ปี (ที่ถูก ต้องระบุว่าข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก) ริบของกลางยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 11 และที่ 13 กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 9 และที่ 10 ร่วมกันชำระเงิน 110,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 1 ชำระเงิน 301,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 2 ชำระเงิน 140,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 3 ชำระเงิน 350,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 4 ชำระเงิน 310,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 5 ชำระเงิน 330,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 6 ชำระเงิน 310,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 7 ชำระเงิน 150,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 8 ชำระเงิน 110,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 9 ชำระเงิน 110,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 10 ชำระเงิน 50,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 11 ชำระเงิน 55,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 12 ชำระเงิน 51,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 13 ชำระเงิน 52,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 14 ชำระเงิน 51,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 15 ชำระเงิน 50,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 16 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 12 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 9 ที่ 10 และที่ 12 ฐานซ่องโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคสอง และฐานร่วมกันก่อการร้ายโดยรู้ว่ามีผู้จะก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ตามมาตรา 135/2 (2) เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานรู้ว่ามีผู้จะก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี ให้ลงโทษในความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตอีกกระทงหนึ่ง จำคุก 2 ปี เมื่อรวมทุกกระทงแล้วคงจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาสำหรับจำเลยที่ 2 ในฐานความผิดที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ที่ 9 ที่ 10 และที่ 12 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในวันเวลาตามฟ้องมีคณะบุคคลจำนวนมากกว่าห้าคนซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายสมคบกันก่อตั้งขบวนการก่อการร้ายชื่อ "ขบวนการ ก." มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งแยกจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และบางอำเภอของจังหวัดสงขลาเป็นรัฐอิสระโดยสะสมกำลังพลและอาวุธ สมคบกันตระเตรียมการและวางแผนเพื่อก่อการร้ายหรือกระทำความผิดใด ๆ อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการก่อการร้าย ใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการฆ่า พยายามฆ่าเจ้าพนักงานของรัฐและประชาชนทั่วไป วางเพลิงเผาทรัพย์สินของทางราชการและประชาชนทั่วไป โดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทยให้กระทำการหรือไม่กระทำการใด เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2560 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ขณะที่ผู้ร้องที่ 1 ถึงผู้ร้องที่ 10 กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในจุดตรวจร่วมสามฝ่าย ริมถนนสาย 410 มีคนร้ายหลายคนใช้อาวุธปืนระดมยิงและใช้วัตถุระเบิด น้ำมันเบนซินบรรจุขวดและจุดไฟขว้างเข้าไปภายในจุดตรวจร่วมสามฝ่าย เจ้าหน้าที่ภายในจุดตรวจร่วมสามฝ่ายจึงขอกำลังสนับสนุน พันตำรวจโท ฐ. ผู้ร้องที่ 17 ร้อยตำรวจโท พ. ผู้ร้องที่ 11 สิบตำรวจโท ท. ผู้ร้องที่ 12 สิบตำรวจโท ต. ผู้ร้องที่ 13 สิบตำรวจโท ง. ผู้ร้องที่ 14 สิบตำรวจโท ศ. ผู้ร้องที่ 15 และสิบตำรวจตรี ก. ผู้ร้องที่ 16 เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรกรงปินัง ออกเดินทางเข้าไปที่จุดตรวจร่วมสามฝ่ายเพื่อช่วยเหลือผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 10 โดยผู้ร้องที่ 12 และที่ 16 ขับและซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไป 1 คัน ส่วนผู้ร้องอื่นทั้งห้าคนนั่งรถยนต์หุ้มเกราะของทางราชการ ระหว่างทางถูกคนร้ายโปรยตะปูเรือใบที่ถนนและตัดต้นไม้ขวางถนน มีการยิงต่อสู้กับคนร้ายหลายคนจากการกระทำของกลุ่มคนร้ายดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้ร้องที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 17 ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กายสาหัสและเป็นเหตุให้ผู้ร้องที่ 1 ที่ 3 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ จากการที่คนร้ายขว้างระเบิดและน้ำมันเบนซินบรรจุขวดเข้าไปที่จุดตรวจร่วมสามฝ่าย ทำให้เกิดการระเบิดอันเป็นการร่วมกันทำให้เกิดการระเบิดจนเป็นอันตรายแก่ผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 10 เพลิงลุกไหม้ภายในอาคาร ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยอันเป็นการร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือนที่อยู่อาศัย ทำให้ทรัพย์สินของทางราชการและทรัพย์สินของผู้ร้องได้รับความเสียหาย พวกของคนร้ายอีกส่วนหนึ่งซึ่งแบ่งหน้าที่กันทำยังวางระเบิดเสาไฟฟ้าส่องสว่างริมถนนหลายแห่งทำให้เสาไฟฟ้าซึ่งเป็นทรัพย์ที่มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์หักโค่นหลายต้น ตัดต้นไม้ขวางถนน โปรยตะปูเรือใบและวางระเบิดแสวงเครื่องบนถนนสาย 3015 ซึ่งเป็นทางหลวงอันเป็นการปิดกั้นทางหลวงวางวัตถุที่แหลมหรือมีคมบนทางหลวง หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตรวจยึดวัตถุพยานเป็นของกลางหลายรายการ ผลการตรวจพิสูจน์ปลอกกระสุนปืนของกลางแล้ว บางส่วนเป็นเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้และบางส่วนเป็นเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ได้ ผลการตรวจพิสูจน์ชิ้นส่วนแบตเตอรี่ เศษชิ้นส่วนพลาสติก แผงวงจรวิทยุสื่อสาร สายไฟอ่อน และเศษเหล็กเส้นตัดเป็นท่อนของกลาง ปรากฏว่าเป็นเศษชิ้นส่วนของวัตถุระเบิดแสวงเครื่อง ซึ่งเป็นวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 ศูนย์นิติวิทยาศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดทำระบบ FIDS ระบบเชื่อมโยงฐานข้อมูลนิติวิทยาศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้ (Forenic Integrated Database System) พบข้อมูล DNA ของบุคคลหลายคน โดยมีจำเลยที่ 1 ด้วย หลังเกิดเหตุวันที่ 6 กรกฎาคม 2560 เจ้าพนักงานโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 นำนาย ม. นาย อ. นาย บ. จำเลยทั้งสิบสามและผู้ต้องสงสัยรายอื่นอีกหลายคนไปซักถามที่ค่ายวังพญาและค่ายอิงคยุทธบริหาร นาย ม. นาย อ. และนาย บ. ให้ถ้อยคำตามลำดับ ต่อมาส่งบุคคลดังกล่าวต่อพนักงานสอบสวน ชั้นสอบสวนนาย ม. นาย อ. และนาย บ. ให้การ จำเลยทั้งสิบสามให้การ ก่อนนำคดีมาฟ้องโจทก์ยื่นคำร้องขอนำนาย ม. นาย อ. และนาย บ.เข้าสืบพยานไว้ก่อน ศาลชั้นต้นอนุญาตและสืบพยานดังกล่าวในวันที่ 24 สิงหาคม 2560
จำเลยที่ 1 ที่ 9 และที่ 10 ฎีกาว่า ตามประมวลกฎหมายอาญาความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้าย มาตรา 135/1 (1) ฐานก่อการร้ายตาม มาตรา 135/2 (2) ฐานเป็นอั้งยี่ตามมาตรา 209 และฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 ตามลักษณะความผิดและมีเจตนาประการเดียวเพื่อการก่อการร้าย จึงเป็นกรรมเดียวที่ผิดกฎหมายหลายบท เห็นว่า แม้ความผิดฐานซ่องโจรตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210 วรรคสอง และฐานร่วมกันก่อการร้ายโดยรู้ว่ามีผู้ก่อการร้ายแล้วกระทำการใด ๆ อันเป็นการช่วยปกปิดไว้ตามมาตรา 135/2 (2) เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ได้วินิจฉัยไว้และโจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้ง แต่ความผิดฐานเป็นอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 เป็นความผิดทันทีเมื่อผู้นั้นได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย และความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (1) เป็นการกระทำที่ล่วงเลยการตระเตรียมการหรือสะสมกำลังพลหรืออาวุธเพื่อก่อการร้ายหรือรู้ว่าจะมีผู้ก่อการร้ายและปกปิดไว้แล้ว กล่าวคือ มีการลงมือโจมตีหรือใช้วัตถุระเบิด พยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้ว จึงเป็นความผิดต่างกรรมกับการก่อการร้ายตามมาตรา 135/2 (2) การกระทำความผิดทั้งสามฐานดังกล่าว แม้จะได้กระทำในช่วงเดียวกัน แต่เป็นการกระทำคนละอย่างแตกต่างกันและต่างกรรมต่างวาระ ทั้งเจตนาและความมุ่งหมายก็เป็นคนละอย่างต่างกัน จึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกันมิใช่เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทดังที่จำเลยที่ 1 ที่ 9 และ ที่ 10 ฎีกามา ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 9 และที่ 10 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 และที่ 12 ความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้าย ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองกับฐานร่วมกันใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ฐานร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่และโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฐานร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือนที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ฐานร่วมกันก่อให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ฐานร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ฐานร่วมกันปิดทางหลวง หรือวางวัตถุที่แหลมหรือมีคมในลักษณะที่อาจเกิดอันตรายหรือเสียหายแก่ยานพาหนะหรือบุคคล และฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกให้ได้ในการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืน ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 9 และที่ 10 มีความผิดฐานรู้ว่ามีผู้จะก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/2 (2) จำคุกคนละ 3 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ที่ 9 ที่ 10 และที่ 12 กระทงละหนึ่งในสาม ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 และที่ 12 ฐานร่วมกันใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานเปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 ลดโทษหนึ่งในสามแล้ว คงจำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน ฐานรู้ว่ามีผู้จะก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ คงจำคุกคนละ 2 ปี ฐานเป็นอั้งยี่ จำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 8 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 และที่ 12 คนละ 37 ปี 20 เดือน ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นอั้งยี่ จำคุก 1 ปี 4 เดือน ฐานรู้ว่ามีผู้จะก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้คงจำคุก 2 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 ปี 4 เดือน ลงโทษจำเลยที่ 9 และที่ 10 ฐานรู้ว่ามีผู้จะก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้คงจำคุกคนละ 2 ปี ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 9 และที่ 10 ในความผิดฐานอื่น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9