เดิมโจทก์ชนะความนางเปลี่ยน แล้วยึดทรัพย์ขายทอดตลาด ตามประกาสขายทอดตลาดอันดับ ๒ และ ๓ มีดังนี้
อันดับ ๒ ที่ดินทิศเหนือ ๒ เส้น ๒ ศอกดจดตรอก และที่ดินนางเปลี่ยน ณนคร ทิศตะวันออก ๙ วาจดถนนราชดำเนิร ทิศใต้ ๓ เส้น ๓ ศอกจดที่ดินนายเพลา ณนคร (โจทก์คดีนี้) ทิศตะวันตก ๑๑ วา จดตรอก ๑ แปลง
อันดับ ๓ ห้องแถวชั้นเดียว ๖ ห้องพื้นซิเมนต์ฝากระดานหลังคามุงกระเบื้อง มีครัวต่อจากห้องแถว ปลูกในที่ดินหมายเลข ๒ และที่ดินนายเพลา ณนคร (โจทก์คดีนี้) ๓ ห้อง
จำเลยในคดีนี้ซื้อทรัพย์อันดับ ๒,๓,และ ๔ ได้เมื่อจำเลยไปทำสัญญาโอนที่อำเภอได้รวมเอาที่ดินที่ปลูห้องแถวทั้งหมด ฝ่ายโจทก์คัดค้านว่าที่ดินที่ปลูกห้องแถว ๓ ห้องเนื้อที่ยาว ๔ วา ๒ ศอก กว้าง ๖ วา ๓ ศอกเป็นของโจทก์ ขอให้จำเลยรื้อห้องแถวออกไป ฝ่ายจำเลยว่าได้ซื้อจากการขายทอดตลาดโดยสุจริตย่อมได้กรรมสิทธิ ข้อเท็จจริงปรากฎว่าห้องแถว ๖ ห้องปลูกอยู่ในที่ดินที่ขายทอดตลาดอันดับ ๒ และที่รายนี้ด้านตะวันออกติดถนนราชดำเนินเพียง ๔ วา ๒ ศอกเป็นของนางเปลี่ยนผู้แพ้ความ ส่วนอีก ๔ วา ๒ ศอกเป็นของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เป็นความผิดของโจทก์เองที่ยึดทรัพย์ของคนเข้าไปด้วย จำเลยซื้อโดยสุจริตย่อมได้สิทธิตาม ป.ม.แพ่ง ฯ ม.๑๓๓๐ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาตัดสินว่า ถ้าอ่านอันดับ ๒ และ ๓ แล้วจะเห็นชัดว่าฟ้องแถว ๓ ห้องปลูกในที่ของนางเปลี่ยนอีก ๓ ห้องปลูกในที่ของโจทก์ จำเลยเป็นผู้ซื้อได้ทั้งอันดับ ๒ และ ๓ จำเลยจะเอาที่ดินที่ปลูกห้องแถวของโจทก์ด้วยไม่ได้ดังประกาศซึ่งบอกชัดแล้วว่าเป็นที่ดินของโจทก์ จำเลยจะอ้างมาตรา ๑๓๓๐ ไม่ได้ จึงพิพากษากลับให้ โจทก์ชนะคดี ส่วนค่าเสียหายโจทก์ไม่ควรได้ เพราะเป็นการ+โจทก์อยู่บ้างที่ทำให้ประกาศมีปัญหา