ได้ความว่า  บริษัทจำเลยได้ตั้งโรงงานจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ประชาชนตำบลบางคล้า  ได้พิมพ์ประกาศชี้แจงข้อปฏิบัติและเงื่อนไขในการใช้ไฟฟ้าให้ประชาชนทราบ  โดยเฉพาะเงื่อนไขเกี่ยวกับค่ามัดจำการใช้กระแสไฟฟ้าและค่าหม้อกระแสไฟฟ้า  (หม้อแอมป์มีเตอร์)  ประชาชนเห็นว่ายังมีราคาสูงมาก  และผูกมัดผู้ใช้ไฟฟ้ามากไป  จึงไม่มีผู้ใดใช้ไฟฟ้า  บริษัทจำเลยจึงต่อไฟฟ้าเข้าบ้านประชาชนให้ทดลองใช้ ๑ เดือน  ก็ยังไม่มีผู้ใดขอใช้ไฟฟ้า  นายอนันต์  ผู้จัดการบริษัทจำเลยได้เชิญประชาชนไปประชุมชี้แจง  แล้วประชารชนได้ตั้งกรรมการเจรจากับบริษัทจำเลย  ผลที่สุดตกลงกันได้ว่า  ค่าประกันการใช้ไฟฟ้าบริษัทจำเลยลดจาก ๕๐ บาท เหลือ ๓๐ บาท  ส่วนค่าประกันค่าหม้อมีเตอร์ลดลงโดยคิดเอาตามขนาดของหม้อแอมป์มีเตอร์  และได้ตกลงกันว่าเรื่องเงินเกี่ยวกับหม้อแอมป์มีเตอร์นี้เป็นการประกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่หม้อเท่านั้น  ไม่ใช่เป็นราคาเงินที่ซื้อขายกัน  เมื่อผู้ใดเลิกใช้ไฟ  บริษัทจำเลยจะคืนเงินประกันนี้ให้ผู้ใช้ไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับคืนเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าจากโจทก์  และให้คืนเงินค่าเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าเท่าที่โจทก์แต่ละรายชำระไว้ให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ในข้อกฎหมายว่า  เอกสารใบรับเงินแสดงถึงการชำระค่าตู้เครื่องวัดกระแสไฟฟ้า  มิได้ปรากฏว่าเป็นเงินประกัน  และไม่ได้ระบุว่าต้องคืนเงิน  ที่ศาลชั้นต้นยอมให้โจทก์สืบพยานบุคคลเพื่อเปลี่ยนแปลงข้อความที่ปรากฏในเอกสาร  จึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๓ (ข)  (น่าจะเป็น ๙๔(ข))
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า  ไม่เป็นการสืบว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า  การชำระเงินแก่กันในกรณีเช่นนี้  กฎหมายมิได้บังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง  และตามเอกสารที่โจทก์อ้างก็มีความสำคัญแต่ว่า  บริษัทจำเลยได้รับเงินจากโจทก์  ชำระค่าหม้อมีเตอร์ขนาดใด  เป็นเงินเท่าใด  ไม่มีถ้อยคำบ่งชัดว่าเงินที่บริษัทจำเลยได้รับจากโจทก์นั้น  เป็นการชำระค่าซื้อขายหม้อแอมป์มีเตอร์หรือว่าค่าประกันหม้อแอมป์มีเตอร์  การที่โจทก์นำสืบข้อนี้ก็เป็นการอธิบายว่าโจทก์ชำระเงินค่าประกัน  ไม่ใช่ค่าซื้อขายหม้อแอมป์มีเตอร์  โจทก์จึงมีสิทธินำสืบได้   ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ (ข)
พิพากษายืน