โจทก์ฟ้องว่า นายกิ้มและนางชื่นเป็นสามีภริยากัน มีบุตรด้วยกัน 11 คน รวมทั้งโจทก์และจำเลยด้วย เมื่อนายกิ้มถึงแก่กรรมที่ดินส่วนที่เป็นของนายกิ้ม นางชื่นถือกรรมสิทธิ์แทนบุตรทุกคนตลอดมา แล้วนางชื่นโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของตนให้จำเลย ต่อมาจำเลยแบ่งที่ดินแปลงนี้ไปอีกหลายแปลงตามโฉนดเลขที่ 22656 ถึง 22660 ซึ่งมีส่วนของนายกิ้มรวมอยู่ด้วย โฉนดดังกล่าวจำเลยเป็นผู้ยึดถือไว้ โจทก์ต้องการรับมรดกที่ดินเฉพาะส่วนของนายกิ้ม แต่ไม่อาจกระทำได้เพราะจำเลยไม่ยอมให้โฉนด ขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยส่งมอบโฉนดแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ครอบครองที่ดินโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง โจทก์ฟ้องเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์เป็นการไม่ถูกต้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้องโจทก์
ในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เดิมโฉนดที่ดินมีชื่อนางชื่นเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว ต่อมานางชื่นโอนให้แก่จำเลย และจำเลยได้แบ่งแยกที่ดินออกไปอีกหลายโฉนด กรณีดังกล่าวจำเลยมีอำนาจครอบครองโฉนดไว้โดยชอบ ตามคำฟ้องของโจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิรับมรดกบางส่วน แสดงว่าโจทก์ยังไม่มีชื่อในโฉนดและสันนิษฐานไม่ได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและโฉนดที่ดิน ทั้งโฉนดที่ดินเป็นเอกสารสิทธิ์เกี่ยวกับที่ดินระบุชื่อจำเลยเท่านั้นเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดถือหรือเกี่ยวข้อง หรือติดตามเอาคืน หากจำเลยจะโต้แย้งสิทธิของโจทก์อย่างไร ก็น่าจะโต้แย้งสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์อันเป็นที่ดินเท่านั้น โจทก์จะต้องพิสูจน์สิทธิตามขั้นตอน กรณีดังกล่าวเกี่ยวกับโฉนดที่ดินถือไม่ได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษากลับเป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์.