โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 364, 365, 371, 391จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง
ระหว่างพิจารณา นาง ศ. ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูก เฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, มาตรา 365 และมาตรา 391)
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมเป็นเงิน 130,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันเกิดเหตุเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม
จำเลยไม่ให้การในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365 (1) (2) (ที่ถูก มาตรา 365 (1) (2) ประกอบมาตรา 364), 371, 391 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานบุกรุกเคหสถานของผู้อื่นโดยมีอาวุธและโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย กับฐานใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานบุกรุกเคหสถานของผู้อื่นโดยมีอาวุธและโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 1,000 บาท รวมจำคุก 1 ปี และปรับ 1,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันเกิดเหตุ (วันเกิดเหตุวันที่ 27 มิถุนายน 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 9 จำเลยยื่นคำร้องขอแถลงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมลงวันที่ 25 กันยายน 2562 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีปรากฏในสำนวนอยู่แล้วว่าจำเลยได้วางเงินเพื่อชำระแก่โจทก์ร่วมตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และโจทก์ร่วมมารับไปเรียบร้อยแล้ว ประกอบกับคำร้องฉบับนี้ จำเลยยื่นหลังจากที่สำนวนและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 กลับมาที่ศาลนี้แล้ว จึงไม่มีเหตุให้ส่งคำร้องฉบับนี้ไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 9 อีก และไม่มีเหตุให้ควรเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ออกไป จึงยกคำร้อง และอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ให้รับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายไว้พิจารณา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ส่งคำร้องขอแถลงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมลงวันที่ 25 กันยายน 2562 ไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิจารณา และไม่เลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 เป็นการผิดระเบียบ ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ได้ทำคำพิพากษาเสร็จและส่งให้ศาลชั้นต้นเพื่ออ่านให้คู่ความฟังแล้ว แต่ตราบใดที่ศาลชั้นต้นยังมิได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ให้คู่ความฟัง ก็ต้องถือว่าคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 9 ศาลชั้นต้นจะต้องส่งคำร้องดังกล่าวไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 9 เพื่อพิจารณาสั่ง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ส่งคำร้องดังกล่าวไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 9 เป็นการไม่ชอบ ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่เนื่องจากคดีนี้ได้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว จึงเห็นสมควรสั่งคำร้องของจำเลยดังกล่าวไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 สั่ง ซึ่งคำร้องของจำเลยดังกล่าวเป็นการร้องขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิจารณาพิพากษาแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่เกี่ยวกับผลของคดีที่จำเลยร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ร่วมในคดีหมายเลขดำที่ อ.508/2562 ของศาลชั้นต้น เพื่อเป็นเหตุเพิ่มเติมในการขอให้รอการลงโทษแก่จำเลย อันเป็นการเพิ่มเติมจากที่อุทธรณ์ไว้ มีลักษณะเป็นการขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ซึ่งพ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายแล้ว จึงไม่อาจอนุญาตตามคำร้องขอได้ แต่ควรให้รับไว้เป็นคำแถลงการณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 205 แต่ตามวรรคสามของบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดว่า คำแถลงการณ์เป็นหนังสือมิให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์ ให้นับว่าเป็นแต่คำอธิบายข้ออุทธรณ์เท่านั้น ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วคำแถลงการณ์ของจำเลยไม่มีคำอธิบายอย่างใดที่อาจทำให้ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 เปลี่ยนแปลงได้ จึงไม่เป็นเหตุให้ศาลฎีกาต้องมีคำสั่งให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 แล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิจารณาและพิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2) ประกอบมาตรา 225 ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2561 เวลากลางวัน จำเลยโดยมีกรรไกรเป็นอาวุธ บุกรุกเข้าไปในบ้านเลขที่ดังกล่าว อันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของโจทก์ร่วม โดยไม่มีเหตุอันสมควร แล้วใช้กรรไกรดังกล่าวจี้บริเวณลำคอของโจทก์ร่วมและขู่เข็ญว่าจะฆ่าให้ตาย อันเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย และจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายโดยใช้ผ้าขาวม้ารัดคอโจทก์ร่วม จนเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมมีบาดแผลฟกช้ำบริเวณคางและรอบลำคอใต้คาง โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และในการสืบพยานคดีส่วนแพ่ง โจทก์ร่วมเบิกความยืนยันว่า วันเกิดเหตุ โจทก์ร่วมปิดประตูหน้าบ้านไว้แต่ไม่ได้ล็อกประตู จำเลยเปิดประตูเข้ามาแล้วเข้ามาหาโจทก์ร่วม พร้อมใช้กรรไกรจี้บริเวณลำคอโจทก์ร่วมพร้อมกับพูดว่าอย่าส่งเสียงดัง หลังจากนั้นจำเลยใช้กรรไกรเหน็บไว้ที่สะเอว แล้วดึงผ้าขาวม้ามารัดคอโจทก์ร่วมเพื่อพยายามข่มขืน ซึ่งจำเลยก็มิได้นำพยานเข้าสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานที่อยู่อาศัยของโจทก์ร่วมแล้วจึงใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายโจทก์ร่วม เป็นการบุกรุกโดยมีมูลเหตุชักจูงใจเพื่อจะเข้าไปใช้กำลังประทุษร้ายโจทก์ร่วมเท่านั้น เมื่อจำเลยไม่ได้ใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีมูลเหตุชักจูงใจเพื่อที่จะบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของโจทก์ร่วมแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (1) แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลก็ไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดดังกล่าวได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 365 (1) มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (1) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9