โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 10/2558 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 22/2560 ข้อ 5 ประกาศกรมเจ้าท่า ที่ 101/2560 ข้อ 2, 6 และประกาศกรมเจ้าท่า ที่ 103/2560 ข้อ 1, 5
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 22/2560 ข้อ 5 วรรคเก้า ปรับ 322,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่ทางพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงปรับ 214,666.66 บาท ให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี คุมความประพฤติของจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายในระยะเวลา 2 ปี กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่จำเลยและพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีสิ่งแวดล้อมพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้เป็นที่ยุติว่า จำเลยเป็นเจ้าของเรือแอลพีเอส 5 จดทะเบียนเรือประมงไว้กับกรมเจ้าท่าที่กรุงเทพมหานคร เลขทะเบียนเรือ 490000507 เรือมีความยาว 32.60 เมตร ความกว้าง 6.80 เมตร ความลึก 3.40 เมตร น้ำหนัก 166 ตันกรอส ประเภทเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขต บรรทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันที่มีจุดวาบไฟสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2558 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติออกคำสั่ง ที่ 10/2558 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม เพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าสัตว์น้ำของประเทศไทยในอนาคตและความมั่นคงของประเทศไทยในภาพรวม และวันที่ 4 เมษายน 2560 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติออกคำสั่ง ที่ 22/2560 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายขาดการรายงาน และไร้การควบคุม เพิ่มเติมครั้งที่ 4 มีข้อกำหนดให้เจ้าของเรือประมงและเรือที่เกี่ยวข้องกับการประมงและเรือสนับสนุนการประมงต้องนำเรือมาให้คณะทำงานตรวจเรือตรวจสอบและทำเครื่องหมายที่แสดงอัตลักษณ์เรือภายในเวลาที่กำหนด ต่อมาวันที่ 14 มิถุนายน 2560 อธิบดีกรมเจ้าท่าออกประกาศกรมเจ้าท่า ที่ 101/2560 เรื่อง การตรวจสอบและทำเครื่องหมายที่แสดงอัตลักษณ์และการแจ้งรายการเกี่ยวกับเรือ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 22/2560 โดยมีรายชื่อเรือรวมทั้งเรือแอลพีเอส 5 ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของแนบท้ายประกาศกรมเจ้าท่าฉบับนี้ ให้มายื่นคำขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเรือและทำเครื่องหมายแสดงอัตลักษณ์หรือมาแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับเรือ ในระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน 2560 ถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2560 และวันที่ 20 มิถุนายน 2560 อธิบดีกรมเจ้าท่าออกประกาศกรมเจ้าท่า ที่ 103/2560 เรื่อง การตรวจสอบและทำเครื่องหมายที่แสดงอัตลักษณ์ และการแจ้งรายการเกี่ยวกับเรือตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 22/2560 เพิ่มเติมครั้งที่ 1 ขยายเวลาให้เจ้าของเรือหรือผู้ครอบครองเรือมายื่นคำขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเรือและทำเครื่องหมายแสดงอัตลักษณ์เรือ หรือมาแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับเรือเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ในระหว่างวันที่ 19 มิถุนายน 2560 ถึงวันที่ 21 มิถุนายน 2560 จำเลยทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 10/2558 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 22/2560 ตลอดจนประกาศกรมเจ้าท่า ที่ 101/2560 และที่ 103/2560 แล้ว ไม่ไปยื่นคำขอให้เจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าดำเนินการตรวจสอบเรือและทำเครื่องหมายแสดงอัตลักษณ์เรือ หรือไปแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับเรือภายในวันที่ 21 มิถุนายน 2560 อันเป็นกำหนดเวลาตามประกาศของกรมเจ้าท่า กรมเจ้าท่าจึงมอบอำนาจให้นายสุระศักดิ์ เจ้าพนักงานขนส่งชำนาญงาน ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลย ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นวันที่ 13 มิถุนายน 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดประเภทของเรือสนับสนุนการประมง มีผลบังคับใช้วันที่ 22 มิถุนายน 2560 และวันที่ 20 กันยายน 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกประกาศเรื่อง กำหนดประเภทของเรือสนับสนุนการประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 โดยตามประกาศข้อ 1 กำหนดไว้ว่า ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสอง วรรคสามและวรรคสี่ ของข้อ 1 แห่งประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดประเภทของเรือสนับสนุนการประมง พ.ศ.2560 ลงวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2560 "ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่เรือบรรทุกผลิตภัณฑ์น้ำมัน ดังนี้ (1) เรือบรรทุกน้ำมันเตา..."
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบฟังได้ว่า เรือแอลพีเอส 5 ของจำเลยเป็นเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขต ประเภทการใช้ บรรทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันที่มีจุดวาบไฟสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส มีน้ำหนัก 166 ตันกรอส ซึ่งเป็นเรือที่มีขนาดตั้งแต่สามสิบตันกรอสแต่ไม่เกินหนึ่งพันตันกรอส และเป็นเรือบรรทุกน้ำมันเพื่อสนับสนุนการประมงที่อยู่ในหลักเกณฑ์ต้องนำเรือไปยื่นคำขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบเรือและทำเครื่องหมายแสดงอัตลักษณ์เรือภายในวันที่ 21 มิถุนายน 2560 ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 22/2560 ประกาศกรมเจ้าท่า ที่ 101/2560 และประกาศกรมเจ้าท่า ที่ 103/2560 จำเลยทราบคำสั่งและประกาศดังกล่าวแล้ว ไม่มายื่นคำขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบเรือและทำเครื่องหมายแสดงอัตลักษณ์เรือหรือมาแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับเรือให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดดังกล่าว จำเลยจึงมีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง เห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2560 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติออกคำสั่ง ที่ 22/2560 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม เพิ่มเติมครั้งที่ 4 มีข้อกำหนดให้เจ้าของเรือประมงและเรือที่เกี่ยวข้องกับการประมงและเรือสนับสนุนการประมงต้องนำเรือมาให้คณะทำงานตรวจเรือตรวจสอบและทำเครื่องหมายที่แสดงอัตลักษณ์เรือภายในเวลาที่กำหนดตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ต่อมาวันที่ 14 มิถุนายน 2560 อธิบดีกรมเจ้าท่าออกประกาศกรมเจ้าท่า ที่ 101/2560 เรื่อง การตรวจสอบและทำเครื่องหมายที่แสดงอัตลักษณ์และการแจ้งรายการเกี่ยวกับเรือ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 22/2560 โดยกำหนดให้เจ้าของ ผู้มีกรรมสิทธิ์หรือผู้ครอบครองเรือหรือผู้รับมอบอำนาจเจ้าของเรือตามรายชื่อแนบท้ายประกาศกรมเจ้าท่าฉบับนี้ อันรวมถึงจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของเรือแอลพีเอส 5 มายื่นคำขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเรือและทำเครื่องหมายแสดงอัตลักษณ์หรือมาแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับเรือในระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน 2560 ถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2560 และวันที่ 20 มิถุนายน 2560 อธิบดีกรมเจ้าท่าออกประกาศกรมเจ้าท่า ที่ 103/2560 เรื่อง การตรวจสอบและทำเครื่องหมายที่แสดงอัตลักษณ์ และการแจ้งรายการเกี่ยวกับเรือตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 22/2560 เพิ่มเติมครั้งที่ 1 ขยายเวลาให้เจ้าของเรือหรือผู้ครอบครองเรือมายื่นคำขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเรือและทำเครื่องหมายแสดงอัตลักษณ์เรือ หรือมาแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับเรือเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ในระหว่างวันที่ 19 มิถุนายน 2560 ถึงวันที่ 21 มิถุนายน 2560 จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของเรือแอลพีเอส 5 จดทะเบียนเรือประมงไว้กับกรมเจ้าท่าที่กรุงเทพมหานคร เลขทะเบียนเรือ 490000507 เรือมีน้ำหนัก 166 ตันกรอส ประเภทเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขต ใช้บรรทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันที่มีจุดวาบไฟสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส ตามสำเนาใบทะเบียนเรือไทย ได้ทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 10/2558 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 22/2560 ตลอดจนประกาศกรมเจ้าท่า ที่ 101/2560 และที่ 103/2560 แล้ว ไม่ได้นำเรือไปยื่นคำขอให้เจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าดำเนินการตรวจสอบเรือและทำเครื่องหมายแสดงอัตลักษณ์เรือ หรือไปแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับเรือภายในวันที่ 21 มิถุนายน 2560 และนายพิษณุ นักวิชาการขนส่งประจำสำนักมาตรฐานเรือ กรมเจ้าท่า พยานโจทก์เบิกความว่า ตามข้อมูลทะเบียนเรือแอลพีเอส 5 เป็นเรือประเภทเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขตและใช้บรรทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันที่มีจุดวาบไฟมีอุณหภูมิสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส ผลิตภัณฑ์น้ำมันที่มีจุดวาบไฟมีอุณหภูมิสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส เช่น น้ำมันดีเซล เรือแอลพีเอส 5 ถือเป็นเรือสนับสนุนการประมงตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดประเภทเรือสนับสนุนเรือเพื่อการประมง พ.ศ.2560 จำเลยจึงต้องมายื่นคำขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเรือและทำเครื่องหมายแสดงอัตลักษณ์เรือ หรือมาแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับเรือ เช่นนี้ ที่จำเลยนำสืบว่า เรือแอลพีเอส 5 เป็นเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขต ประเภทการใช้บรรทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันที่มีจุดวาบไฟสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส นั้น ใบอนุญาตใช้เรือแอลพีเอส 5 ระบุว่า เจ้าพนักงานอนุญาตให้ใช้เรือตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2560 ย่อมแสดงว่า วันที่ 21 มิถุนายน 2560 เรือแอลพีเอส 5 ยังเป็นเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขต ประเภทการใช้งาน บรรทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันที่มีจุดวาบไฟสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส มีน้ำหนัก 166 ตันกรอส ซึ่งเป็นเรือที่มีขนาดตั้งแต่สามสิบตันกรอสแต่ไม่เกินหนึ่งพันตันกรอส เจือสมกับทางนำสืบของโจทก์ที่ว่า เรือแอลพีเอส 5 เป็นเรือสนับสนุนการประมงที่ต้องติดตั้งระบบติดตามเรือและอยู่ในหลักเกณฑ์ที่ต้องนำเรือไปให้กรมเจ้าท่าดำเนินการตรวจสอบ ส่วนที่จำเลยนำสืบว่า ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดประเภทเรือสนับสนุนเรือเพื่อการประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 ให้ยกเว้นเรือบรรทุกน้ำมันเตาว่าไม่เข้าข่ายเป็นเรือสนับสนุนการประมงตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดประเภทเรือสนับสนุนเรือเพื่อการประมง พ.ศ.2560 นั้น เป็นการประกาศ ณ วันที่ 20 กันยายน 2560 หลังประกาศกรมเจ้าท่า ที่ 103/2560 และหลังจากครบกำหนดระยะเวลาที่กรมเจ้าท่ากำหนดให้เจ้าของเรือนำเรือมาให้กรมเจ้าท่าตรวจสอบและทำเครื่องหมายแสดงอัตลักษณ์และการแจ้งรายการเกี่ยวกับเรือแล้ว และที่จำเลยนำสืบว่า เรือแอลพีเอส 5 เป็นเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขต ประเภทการใช้บรรทุกน้ำมันเตาได้รับการยกเว้นนั้น ใบสำคัญรับรองการตรวจเรือระบุว่า เจ้าพนักงานตรวจเรือได้ออกให้ ณ ที่ทำการสำนักมาตรฐานเรือ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 ย่อมเท่ากับว่า เรือแอลพีเอส 5 ของจำเลยเริ่มเป็นเรือประเภทใช้งานบรรทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันเตาที่ได้รับการยกเว้น ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดประเภทเรือสนับสนุนเรือเพื่อการประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 ตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 หลังจากครบกำหนดวันที่ 21 มิถุนายน 2560 แล้วประมาณ 5 เดือน เช่นนี้ พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่อาจรับฟังได้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบมีน้ำหนักฟังได้มั่นคงว่า การที่จำเลยไม่นำเรือแอลพีเอส 5 ซึ่งเป็นเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขต ประเภทการใช้ บรรทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันที่มีจุดวาบไฟสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส มาให้กรมเจ้าท่าตรวจสอบและทำเครื่องหมายแสดงอัตลักษณ์และการแจ้งรายการเกี่ยวกับเรือเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นพิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น