โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันนายทองคำ นายทองคำผิดสัญญารับเหมาก่อสร้าง โจทก์ทวงถามให้จำเลยรับผิดชอบและไปตกลงกันที่สถานีตำรวจ โดยจำเลยตกลงยอมทำสัญญาประนอมหนี้ชดใช้ค่าเสียหายให้ ๗๐,๐๐๐ บาท แต่จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาประนอมหนี้เพราะโจทก์กับพวกข่มขู่สัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆียะและจำเลยได้บอกล้างแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า นายทองคำสิงห์พิมาตร์ ทำสัญญารับเหมาก่อสร้างหลังคาศาลาการเปรียญวัดตระคลองบึง มีจำเลยเป็นผู้ประกันปรากฏตามบันทึกจ้างเหมาเอกสารหมาย จ.๑ นายทองคำรับเงินค่าจ้างไปจากโจทก์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๑๗,๓๒๐ บาท ปรากฏตามใบรับเงินเอกสารหมาย จ.๒, จ.๓, จ.๔จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันการรับเงินไว้ในเอกสารหมาย จ.๔ และนายทองคำยังได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินให้แก่โจทก์ โดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกัตามเอกสารหมาย จ.๕, จ.๖ เมื่อนายทองคำไม่ทำการก่อสร้างศาลาการเปรียให้วัดตระคลองบึงและหลบหนีไป จำเลยได้ทำบันทึกสัญญาประนอมหนี้ชดใช้เงินแก่โจทก์จำนวน ๗๐,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.๗ มีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาว่า บันทึกสัญญาประนอมหนี้เอกสารหมายจ.๗ เกิดขึ้นเพราะจำเลยถูกข่มขู่หรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ในปัญหาที่ว่าจำเลยถูกข่มขู่ให้ทำบันทึกสัญญาประนอมหนี้ตามเอกสารหมาย จ.๗ หรือไม่ ทั้งสองฝ่ายนำสืบโต้แย้งกันอยู่ แต่แม้จะฟังตามที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยลงลายมือชื่อไปเพราะโจทก์พูดว่า "ให้เอาเงินมาใช้เสีย ถ้าไม่ใช้จะฟ้องและติดตะรางก็ดี นายสิงห์พูดว่า "ใช้เสียน้องเอ๋ยถึงคราวจำเป็นแล้ว ถ้าไม่ใช้จะถูกฟ้องให้ติดตะราง" ก็ดี พนักงานสอบสวนพูดว่า "ผู้ใหญ่ใช้เสียเรามีวินัยอยู่มิฉะนั้นจะเป็นโทษอาญานะ" ก็ดี เป็นเรื่องที่โจทก์กับพวกขู่ว่าถ้าจำเลยไม่ใช้เงินโจทก์จะฟ้องเอาผิดกับจำเลยทางอาญาอันเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต ดังนี้ถือได้ว่าเป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม หาจัดว่าเป็นการข่มขู่อันจะทำให้นิติกรรมเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๖ ไม่บันทึกสัญญาประนอมหนี้ตามเอกสารหมาย จ.๗ จึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้
พิพากษายืน.