โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 และนับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 516/2562 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 517/2562 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้น เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยทั้งสองขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ และจำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 1 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 (ที่ถูก มาตรา 4 (1) (2) (3) (4)) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 1 ปี รวม 4 กระทง และปรับจำเลยที่ 2 กระทงละ 60,000 บาท รวม 4 กระทง จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 6 เดือน รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 24 เดือน คงปรับจำเลยที่ 2 กระทงละ 30,000 บาท รวม 4 กระทง เป็นปรับ 120,000 บาท หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และให้นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1593/2562 ของศาลชั้นต้น ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 517/2562 ของศาลชั้นต้นนั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความแล้ว จึงไม่อาจนับโทษต่อให้ได้ ยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง และผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 ข้อเท็จจริงจึงรับเป็นยุติในชั้นฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คพิพาทรวม 4 ฉบับ จำนวนเงินรวม 25,900,000 บาท เพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมให้แก่โจทก์ และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสี่ฉบับ ให้เหตุผลเช่นเดียวกันว่า เงินในบัญชีไม่พอจ่าย อันเป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ตามที่โจทก์ฟ้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1593/2562 ของศาลชั้นต้น
มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ที่พิพากษายืนให้นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1593/2562 ของศาลชั้นต้น คลาดเคลื่อนหรือไม่ เห็นว่า การฎีกาในปัญหาใด ๆ ต่อศาลฎีกานั้น ย่อมเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยแต่ละคน จำเลยที่ 2 จะฎีกาแทนจำเลยที่ 1 เพื่อไม่ให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อมิได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 2 ในปัญหานี้ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1593/2562 ดังกล่าว โจทก์ขอถอนฟ้องและศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความแล้ว ซึ่งโจทก์ยื่นคำแก้ฎีการับว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าวจริง จึงฟังได้ว่าโจทก์ขอถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1593/2562 และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความแล้วเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 อันเป็นเวลาก่อนที่ศาลชั้นต้นจะอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 คดีนี้ให้คู่ความฟัง โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าก่อนอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 จำเลยทั้งสองได้แถลงข้อเท็จจริงเรื่องการถอนฟ้องดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำพิพากษาในส่วนคำขอนับโทษต่อของจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้อง อันเป็นเหตุให้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 คลาดเคลื่อนในเรื่องการนับโทษต่อของจำเลยที่ 1 ดังนี้ เมื่อได้ความว่าโจทก์ขอถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1593/2562 และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความแล้ว สิทธินำคดีอาญาดังกล่าวมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 กรณีจึงไม่มีคดีอาญาดังกล่าวอยู่ในสารบบความที่ศาลจะพิพากษาให้นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาดังกล่าวได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นประการสุดท้ายว่า เช็คพิพาทตามฟ้อง สั่งจ่ายเงิน 200,000 บาท จำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้เต็มมูลหนี้ตามเช็คดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้ว มูลหนี้เช็คฉบับนี้จึงสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 หรือไม่ ปัญหาข้อนี้ แม้ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสอง แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยทั้งสองมีสิทธิยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 จึงต้องรับวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ให้แก่จำเลยทั้งสอง เห็นว่า แม้ได้ความตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2565 จำเลยทั้งสองวางเงิน 240,000 บาท ต่อศาลชั้นต้น โดยอ้างว่าเป็นการชำระหนี้ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามมูลหนี้เช็ค ทำให้ความผิดตามเช็คฉบับนี้ระงับไปแล้วนั้น ข้อเท็จจริงได้ความตามรายงานกระบวนพิจารณา ฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2565 ว่า ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์เกี่ยวกับเงินที่จำเลยทั้งสองวางเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์นั้น โจทก์แถลงว่าจะรับไว้โดยเป็นการเฉลี่ยเพื่อชำระหนี้ตามเช็คทุกฉบับ คำแถลงของโจทก์ดังกล่าวแสดงว่าเงินที่จำเลยทั้งสองชำระนั้นโจทก์มิได้รับไว้เป็นการชำระหนี้เฉพาะเจาะจงตามเช็ค ดังที่จำเลยทั้งสองอ้าง แต่เป็นการรับไว้เพื่อเฉลี่ยชำระหนี้ตามเช็คที่โจทก์ฟ้องทุกฉบับ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้เต็มตามมูลหนี้เช็คครบถ้วนแล้ว หนี้ตามเช็คฉบับดังกล่าวจึงมิได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงมิได้เลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1593/2562 ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6