โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินสัญญาจะจ่ายเงินจำนวน200,000 บาท  ให้แก่โจทก์  เมื่อครบ 58  วันนับแต่วันที่ลงในตั๋ว  ในวันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำเลยได้ขายตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ตามมูลค่าแห่งตั๋ว  จำเลยได้รับเงินค่าขายตั๋วสัญญาใช้เงินไปครบถ้วนแล้ว  ครั้นถึงกำนดใช้เงิน  จำเลยไม่ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นการผิดนัดทำให้โจทก์เสียหาย  ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า  จำเลยไม่เคยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ลายมือชื่อผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย  จำเลยเคยนำเช็คของธนาคารสหมาลายัน  จำกัด  จำนวนเงิน 200,000 บาท  ไปขายลดให้โจทก์โดยมีข้อตกลงว่าหากเช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินไม่ได้โจทก์จะต้องเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้  เมื่อเช็คดังกล่าวถึงกำหนดชำระเงิน  โจทก์ไม่นำไปเรียกเก็บเงินจนขาดอายุความ  ทำให้หลักประกันที่จำเลยมอบให้โจทก์ไว้เพื่อชำระหนี้เสียหายคิดเป็นมูลค่า 200,000 บาทจำเลยจึงขอหักกลบลบหนี้กับหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์ฟ้อง  ธนาคารยังมิได้ปฏิเสธการชำระเงินโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้และดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า  จำเลยนำเช็คตามฟ้องไปขายลดให้แก่โจทก์โดยจำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินและหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องให้โจทก์ไว้เป็นประกัน  หากโจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็ค  จำเลยจะต้องใช้เงินให้แก่โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น  ตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นสังหาริมทรัพย์  เมื่อทำการซื้อขายกันกฎหมายไม่ได้บัญญัติบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ  จำเลยย่อมนำพยานบุคคลเข้าสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใช้เงินได้  ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข)  การที่เช็คถูกทำลายไปไม่เป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คให้แก่โจทก์และหาใช่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 219 ไม่ พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยตามฟ้องให้โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า  จำเลยได้นำเช็คของธนาคารสหมาลายัน จำกัดจำนวนเงิน 200,000 บาท  ไปขายลดให้แก่โจทก์โดยได้ตกลงกันให้จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดไม่จำต้องคัดค้าน  จ่ายเงินจำนวน 200,000 บาท ให้แก่โจทก์เมื่อครบ 58 วัน  เท่ากับระยะเวลาถึงกำหนดจ่ายเงินตามเช็คฉบับที่จำเลยนำมาขายลดแก่โจทก์และจำเลยยังได้ทำหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใชเ้งินโดยระบุเช็คดังกล่าวเป็นหลักทรัพย์ที่ประกันในการออกตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นอีก  ส่วนวิธีการชำระเงินแก่โจทก์ได้ตกลงกันให้โจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเบิกเงินจากธนาคารเมื่อถึงกำหนดจ่ายเงินก่อน  เมื่อโจทก์รับเงินตามเช็คนั้นได้  ก็ให้ถือว่าตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นได้ใช้เงินแล้ว  หนี้ที่ซื้อขายลดเช็คย่อมระงับไป   หากเช็คเบิกเงินจากธนาคารไม่ได้จำเลยจะต้องรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่จำเลยผิดนัด  ศาลฎีกาเห็นว่า  โจทก์และจำเลยตกลงกันโดยจำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินและหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวด้วยความสมัครใจของโจทก์และจำเลย  จึงเกิดเป็นสัญญาขึ้นอันมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายซึ่งโจทก์และจำเลยต้องผูกพันต่อกัน  เมื่อเช็คที่จำเลยนำไปขายลดให้แก่โจทก์ซึ่งได้กลายเป็นหลักประกันตามสัญญาดังกล่าวสูญหายไป  เนื่องจากพนักงานของโจทก์ฉีกทิ้งก่อนที่เช็คจะถึงกำหนดเบิกเงินได้  และผู้จัดการสาขาของโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบโดยมีการเจรจากันว่าจำเลยยอมผ่อนชำระให้โจทก์  แต่โจทก์ไม่อนุมัติ  ดังนั้นจำเลยต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน  จำเลยจะถือว่าโจทก์มิได้นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารก่อนหรือการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยที่จะทำได้จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์นั้นหาชอบไม่  เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้แก่โจทก์ได้  จำเลยจะอ้างอีกว่าจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากการชำระหนี้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 697  หาได้ไม่  เพราะมิใช่เป็นเรื่องสัญญาค้ำประกัน
ที่จำเลยโต้แย้งขอหักกลบลบหนี้ต่อโจทก์เพราะเช็คที่จำเลยนำไปขายลดให้แก่โจทก์ขาดอาายุความไม่สามารถไล่เบี้ยได้นั้น  ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  หนี้ที่จะหักกลบลบหนี้กันได้นั้นจะต้องเป็นหนี้ที่บุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกัน  โดยมูลหนี้อันมีวัตถุอย่างเดียวกันและหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดชำระ  แต่ในกรณีที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้นี้เป็นเรื่องหนี้ของจำเลยเกิดจากความเสียหายอันเนื่องจากการที่โจทก์ทำเช็คสูญหายไป  มิใช่เป็นหนี้ที่โจทก์จะต้องชำระหนี้ตามเช็คให้จำเลย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งโจทก์มิได้เป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค  จึงไม่มีหนี้อะไรตามเช็คที่จำเลยจะนำมาหักหลบลบหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นได้  จำเลยได้รับความเสียหายจากการกระทำของโจทก์อย่างไรชอบที่จำเลยจะไม่ว่ากล่าวแก่โจทก์ต่างหาก
ที่จำเลยฎีกาว่า  ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาว่าการที่จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์นั้น  จำเลยออกเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คระหว่างโจทก์และจำเลย  จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์เกี่ยวกับการขายตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์  เป็นข้อเท็จจริงที่ได้จากการพิจารณาแตกต่างกับคำฟ้องของโจทก์จะต้องยกฟ้องโจทก์นั้น  เห็นว่าศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว  และถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้แตกต่างกับคำฟ้องของโจทก์
พิพากษายืน