คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยโจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนขอให้ ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ และ ป.อ. มาตรา ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องทั้งสองสำนวน
จำเลยให้การปฏิเสธทั้งสองสำนวน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ ป.อ. มาตรา ๙๑ ลงโทษจำคุกกระทงละ ๑ เดือน รวมจำคุก ๖ เดือน
จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องทั้งสองสำนวน
โจทก์ฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า? ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาได้พิจารณาสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน เห็นว่านางนภาพรกู้เงินจากโจทก์โดยตรง ฉะนั้น ข้อเท็จจริงตามที่ ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้อง ประกอบกับการฟ้องขอให้ลงโทษผู้กระทำผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ วรรคแรก ระบุว่า "ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มี อยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย?" นั้น แสดงว่าการกระทำที่เป็นความผิดนั้นจะต้องมีมูลหนี้อยู่จริงและบังคับได้ ตามกฎหมาย ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าระหว่างโจทก์และจำเลยมีมูลหนี้ตามเช็คอย่างไร หากจะมีมูลหนี้ก็เป็นมูลหนี้ระหว่างจำเลยกับนายถวิลสามีโจทก์อันเกิดจากสัญญากู้ และสัญญาค้ำประกันที่นางนภาพรกู้เงินจากนายถวิล สามีโจทก์ โดยจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันได้ออกเช็คให้แก่นายถวิลสามีโจทก์เท่านั้น ทั้งไม่ปรากฏว่านายถวิลสามีโจทก์ได้โอนเช็คดังกล่าวนั้นให้โจทก์หรือไม่และในฐานะใดอันพอที่จะแสดงให้เห็นว่าโจทก์ในฐานะผู้ทรงเป็น ผู้เสียหายโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่มีอำนาจฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายเช็ค จำเลยก็นำสืบต่อสู้ว่า สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ. ๑๑ และ จ. ๑๒ นางนภาพรผู้กู้ และจำเลยลงชื่อไปโดยยังไม่ได้กรอกข้อความและเช็คดังกล่าวเป็น เช็คค้ำประกันค่าแชร์ที่จำเลยเป็นนายวงแชร์ เนื่องจากนายถวิลสามีโจทก์เป็นผู้เปียแชร์ได้ รูปคดีจึงต้องยกฟ้องโจทก์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.