โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสองมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินแปลงหนึ่งโดยโจทก์จำเลยมีส่วนอยู่คนละ  1  ใน  3  โจทก์ประสงค์จะแบ่งแยกส่วนของโจทก์ออก แต่จำเลยไม่จัดการแบ่งแยกให้ จึงขอให้ศาลบังคับ ถ้าการแบ่งแยกไม่ตกลงกัน ก็ให้ประมูลหรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกัน
จำเลยที่  1  ให้การว่า ที่พิพาทได้ปกครองกันเป็นส่วนสัดมาโจทก์ขอแบ่งจำเลยก็ยอม แต่โจทก์เกี่ยงจะเอาที่ส่วนของจำเลยจึงไม่ตกลงกัน
จำเลยที่  2  ให้การว่า ที่พิพาทได้ครอบครองกันมาเป็นสัดส่วนเป็นเวลากว่า 10  ปี แล้ว จำเลยยินดีจะรังวัดแบ่งแยกให้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีไม่มีประเด็นที่จะสืบพยานกันต่อไป แล้วพิพากษาว่าโจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทคนละส่วนเท่า ๆ  กัน ให้ขายที่พิพาทนำเงินมาแบ่งให้คู่ความตามส่วน โดยวิธีประมูลราคา หากไม่ตกลงกันก็ให้ขายทอดตลาด
จำเลยที่  2  อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยยังสงวนคำให้การต่อสู้คดีในประเด็นแบ่งแยกกันครอบครองเป็นส่วนสัดอยู่ ยังมิได้สละคำให้การในประเด็นนี้ จึงยังมีข้อเท็จจริงที่จะต้องสืบพยานกันต่อไป จึงให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยยอมรับแล้วว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท  1  ใน  3 จำเลยสองคนมีอยู่คนละ  1  ใน  3   แต่จำเลยเถียงว่าได้ครอบครองที่พิพาทเป็นส่วนสัดกันมาเป็นเวลากว่า  10  ปีแล้วในวันนัดพร้อม จำเลยก็ยังยืนยันที่จะขอส่วนแบ่งตรงที่ที่จำเลยครอบครองอยู่ เมื่อจำเลยอ้างว่าได้ครอบครองที่พิพาทเป็นสัดส่วนมาเป็นเวลากว่า  10  ปีแล้ว  ถ้าเป็นความจริงจำเลยก็ชอบที่จะได้กรรมสิทธิ์ตรงที่ที่จำเลยครอบครองตามความในมาตรา 1382  แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่  2  จึงเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องฟังกันต่อไป จำเลยที่  2  ยังหาได้สละเสียไม่ส่วนคดีส่วนตัวจำเลยที่  1 จำเลยที่  1  มิได้อุทธรณ์ จึงถึงที่สุดที่ศาลอุทธรณ์ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่รวมถึงจำเลยที่  1  ด้วยไม่ถูกต้อง
พิพากษาแก้ ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่  2  ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยที่  2  ต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี