กรณีเนื่องจากได้มีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยกับบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๗๘  ออกไปตามฟ้องใน ๕ เดือน ครบกำหนดโจทก์ร้องว่าบริวารจำเลยรวม ๓๖ คนยังไม่ออกไป  ขอให้ออกหมายจับมากักขัง  ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่  ๖  พฤษภาคม  ๒๕๐๙  บริวารบางคนมาศาลเฉพาะบริวารที่มาคือผู้ร้องทั้ง ๑๐ แถลงว่าได้เช่าบ้านจำเลย  ยังหาที่อยู่ไม่ได้   ศาลสั่งให้ออกไปจากที่พิพาทภายใน  ๒ เดือน  ผู้ร้องทั้ง  ๑๐  คน  ไม่ยอมลงนามทราบคำสั่ง  ศาลชั้นต้นมีคำสั่งต่อไป  ในวันนั้น  ให้ขังผู้ร้องทั้ง  ๑๐ มีผู้ขอประกัน  ครบกำหนดตามสัญญาประกัน  ผู้ร้องทั้ง ๑๐ ก็ยังไม่ออก  ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปรับนายประกันทั้งให้ออกหมายจับผู้ร้องทั้ง ๑๐   ผู้ร้องทั้ง ๑๐  อุทธรณ์ว่าไม่ใช่เป็นบริวารจำเลย  หากเช่าบ้านกับที่ดินจากจำเลย  โดยความยินยอมของผู้ให้เช่าเดิมเพื่ออยู่อาศัย  ได้รับความคุ้มครอบตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน ฯ  ผู้ร้องคดีหลังจำนวน  ๓๑ คน รวมทั้งผู้ร้องทั้ง ๑๐  ก็ยื่นคำร้องทำนองเดียวกัน  ศาลชั้นต้นสั่งเมื่อวันที่  ๑๘  กรกฎาคม  ๒๕๐๙  ว่า  ผู้ร้องทั้ง ๓๑ คนจะอ้างว่ามิใช่บริวารจำเลยเป็นการประวิง  ไม่มีสิทธิอยู่ในที่พิพาทให้ยกคำร้อง  ให้ออกหมายจังผู้ร้องทั้ง ๑๐
ผู้ร้อง ๓๑  คนอุทธรณ์ว่า  มิใช่เป็นบริวารจำเลย  โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่  ที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องโดยมิได้ไต่สวนเป็นการไม่ชอบ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยกรณีแรกว่า  คำสั่งที่สุดแล้ว    พิพากษายืนเฉพาะกรณีที่หลังศาลชั้นต้นยกคำร้องโดยมิได้ไต่สวนเป็นการไม่ชอบ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยกรณีแรกว่า  คำสั่งถึงที่สุดแล้ว  พิพากษายืนเฉพาะกรณีหลังที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง  โดยมิได้ไต่สวน  พิพากษาแก้เกี่ยวกับผู้ร้องอันดับที่ ๑๑ ถึง ๓๑  รวม ๒๑ คน  ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้อง  แล้วมีคำสั่งใหม่
ผู้ร้องทั้ง  ๑๐ ฎีกา  คดีเกี่ยวกับผู้ร้องอันดับที่  ๑๑  ถึง ๓๑  เป็นอันยุติ
ศาลฎีกาเห็นว่า  ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่  ๖  พฤษภาคม  ๒๕๐๙  ว่าผู้ร้องทั้ง ๑๐ แถลงรับว่า  ได้เช่าบ้านของเลยอยู่ทั้งสิ้น  จึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องทั้ง ๑๐  ออกไปภายใน ๒ เดือนนับแต่วันนั้น   อันเป็นข้อมูลให้ผู้ร้องอุทธรณ์ฎีกาต่อมาส่วนหนึ่ง  นับจากนั้นมาภายในระยะเวลา ๑ เดือน  ผู้ร้องทั้ง  ๑๐ หาได้อุทธรณ์คำสั่งอย่างใดไม่  คำสั่งที่กล่าวจึงถึงที่สุดไปตามกฎหมาย  การที่ผู้ร้องทั้ง ๑๐ ยื่นคำร้องลงวันที่ ๓๐  มิถุนายน  ๒๕๐๙  อ้างว่ามิใช่บริวารจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน  พ.ศ. ๒๕๐๔  นั้น   ศาลฎีกาเห็นว่า  การที่ผู้ร้องได้แถลงรับต่อศาลชั้นต้นไว้ดังกล่าวข้างต้นว่า  ได้เช่าบ้านของจำเลยอยู่  โดยไม่ปรากฏข้ออ้างข้อเถียงอย่างอื่นในชั้นนั้นแสดงว่า ผู้ร้องอ้างสิทธิการเช่าจากจำเลย  จึงเป็นบริวารจำเลยนั่นเอง  ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ร้องเป็นบริวารจำเลย  เป็นอันยุติแล้ว  การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องภายหลังเมื่อวันที่  ๓๐  มิถุนายน  ๒๕๐๙  มีข้ออ้างเป็นอย่างอื่นขึ้นมาใหม่  อันเป็นคนละประเด็น  และเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อเท็จจริงที่ยุติในสำนวนที่ศาลไม่ชอบที่จะฟังเป็นอย่างอื่นได้  จึงไม่จำต้องไต่สวนคำร้องของผู้ร้องที่ยื่นมาใหม่  มิฉะนั้นจะเกิดให้มีการประวิงคดีไม่รู้จักจบจักสิ้น
พิพากษายืน