โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8), 295, 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การ ถือว่าจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (ที่ถูก มาตรา 297(8)) ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 6 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในประการแรกว่า สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์ระงับไปโดยคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(3) หรือไม่ เห็นว่า เหตุคดีนี้เริ่มด้วยโจทก์ไปแจ้งความกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำร้ายร่างกายโจทก์เมื่อร้อยตำรวจเอกเผดิมสิทธิ์ พุทธิมิตร พนักงานสอบสวนโทรศัพท์สอบถามไปยังโรงพยาบาลท่าเรือที่โจทก์ไปให้แพทย์ตรวจรักษามาก่อนหน้านั้นได้ความว่า โจทก์ถูกทำร้ายเพียงมีรอยฟกซ้ำจึงแจ้งข้อกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองทำร้ายร่างกายโจทก์ไม่ถึงกับเป็นเหตุอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพพนักงานสอบสวนทำการเปรียบเทียบปรับจำเลยทั้งสองคนละ 200 บาทโจทก์และจำเลยทั้งสองต่างยินยอม หากผลของการทำร้ายร่างกายโจทก์มีเท่าที่แพทย์ของโรงพยาบาลตรวจพบครั้งแรกดังกล่าวก็เป็นเพียงความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 เมื่อพนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับจำเลยทั้งสองและจำเลยทั้งสองชำระค่าปรับแล้ว คดีย่อมเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 37(2) สิทธินำคดีอาญาในความผิดลหุโทษของโจทก์มาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(3)แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นในวันเดียวกันโจทก์เกิดอาการมึนศีรษะและอาเจียนจึงกลับไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลเดิมตรวจใหม่แพทย์ส่งตัวโจทก์ไปตรวจเอกซเรย์สมองทางเอกซเรย์คอมพิวเตอร์พบว่าสมองได้รับการกระทบกระเทือนและมีเลือดคั่งต้องรักษานานประมาณ 30 วัน โดยโจทก์อ้างว่าเป็นผลเกิดจากถูกจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้แท่งเหล็กกลวงตี หากเป็นจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างคดีก็ไม่อาจเลิกกันได้เพราะกรณีมิใช่ความผิดลหุโทษเสียแล้วสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ระงับไป โจทก์มีอำนาจฟ้อง
ปัญหาประการที่สองมีว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่นายวิชิต เองไพบูลย์ แพทย์ผู้ตรวจรักษาโจทก์เบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องซึ่งระบุชัดกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณาว่าได้ตรวจรักษาโจทก์ขณะมาพบมีบาดแผลแตกที่นิ้วมือซ้ายรอยช้ำบวมที่ข้อศอกซ้ายและที่บริเวณขมับซ้ายบวม ได้ทำการเอกซเรย์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ปรากฏว่ามีเลือดคั่งในสมองด้านซ้ายจึงเห็นว่าสมองได้รับการกระทบกระเทือนสมควรให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 5 วัน และกลับไปพักรักษาตัวต่อที่บ้านอีกประมาณ1 เดือน จึงฟังข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลยที่ 1 ใช้เหล็กกลวงตีทำร้ายโจทก์จนได้รับอันตรายสาหัส จำเลยที่ 2 ร่วมมากับจำเลยที่ 1เพื่อดักทำร้ายโจทก์และได้ลงมือชกต่อยและเตะโจทก์ด้วยจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตามฟ้อง ที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า พฤติการณ์แห่งรูปคดีเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมีแท่งเหล็กกลวงเป็นอาวุธตีทำร้ายโจทก์คนเดียวอันถือได้ว่าเป็นการรุนแรงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน