โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลรัษฎากร มาตรา 90/4 (7), 90/5 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 90/4 (7) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 90/4 (7), 90/5 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้ปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 100,000 บาท รวม 4 กระทง ปรับเป็นเงิน 400,000 บาท ให้จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 2 ปี รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 8 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 200,000 บาท คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับการกระทำความผิดตามฟ้องข้อ 1.1 และข้อ 1.2 เป็นการกระทำกรรมเดียว ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองเพียงกระทงเดียว และเมื่อรวมกับโทษตามฟ้องข้อ 1.3 และข้อ 1.4 แล้ว เป็น 3 กระทง ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 50,000 บาท รวม 3 กระทง เป็นปรับ 150,000 บาท ให้จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 75,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนากระทำความผิดหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนากระทำความผิด ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่าไม่มีเจตนากระทำความผิดเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งขัดแย้งกับคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการต่อมาว่า จำเลยทั้งสองชำระค่าภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มสำหรับเดือนภาษีกรกฎาคม 2556 และเดือนภาษีพฤศจิกายน 2556 ตามฟ้องข้อ 1.3 และ 1.4 ครบถ้วนแล้ว ความรับผิดทางอาญาตามฟ้องข้อ 1.3 และ 1.4 ของจำเลยทั้งสองระงับไปหรือไม่ เห็นว่า ประมวลรัษฎากรบัญญัติให้ผู้ใช้ใบกำกับภาษีปลอม ต้องรับผิดทางแพ่งโดยเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ตามมาตรา 89 (7) และ 89/1 และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 90/4 (7) อีกทางหนึ่งด้วย การที่จำเลยทั้งสองชำระค่าภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามฟ้องข้อ 1.3 และ 1.4 ครบถ้วนก็เป็นเรื่องของความรับผิดทางแพ่ง มีผลให้หนี้ภาษีอันเป็นหนี้ทางแพ่งระงับ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับความรับผิดทางอาญาหาใช่ทำให้ความรับผิดทางอาญาระงับไปด้วยไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการสุดท้ายว่า มีเหตุรอการลงโทษหรือลงโทษสถานเบาให้แก่จำเลยที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งมีฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ร่วมใช้ใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไปใช้ในการเครดิตภาษีเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการทุจริตแสวงหาประโยชน์จากการคดโกงภาษีของรัฐ ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจถือได้ว่าเป็นความผิดร้ายแรง แม้จำเลยที่ 2 จะให้การรับสารภาพและไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อคำนึงถึงสภาพความผิดแล้วไม่ควรรอการลงโทษให้ ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 มานั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่เมื่อจำเลยทั้งสองได้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กรมสรรพากรไปแล้วบางส่วนคงเหลือเพียงหนี้ภาษีสำหรับเดือนภาษีสิงหาคม 2555 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 1 ปี เป็นการใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยที่ 2 หนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่รูปคดี ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 4 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 12 เดือน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์