โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุก พยายามชิงทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 358,365(1)(3), 80, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมาระหว่างพิจารณาจำเลยให้การรับสารภาพข้อหาฐานทำให้เสียทรัพย์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339, 358, 365(1)(3), 80 และ 91 ข้อหาบุกรุกและพยายามชิงทรัพย์เป็นกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ลงโทษจำคุก 6 ปี 8 เดือน ฐานทำให้เสียทรัพย์จำคุก4 เดือน รวมจำคุก 7 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 80 และ 365 ส่วนความผิดตามมาตรา 358จำคุก 4 เดือน จำเลยรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78จำคุก 2 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุก พยายามชิงทรัพย์ และไม่ลดโทษในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ เพราะจำเลยรับสารภาพเนื่องจากจำนนต่อพยานหลักฐาน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "สำหรับข้อหาฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 นั้น ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย4 เดือน และลดโทษให้หนึ่งในสาม แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำคุก 4 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 จำคุก 2 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ความผิดฐานนี้ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ที่โจทก์ฎีกาขออย่าให้ศาลฎีกาลดโทษให้จำเลยในความผิดฐานนี้ซึ่งเป็นการฎีกาเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจของศาลอันเป็นข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกและพยายามชิงทรัพย์นั้น เห็นว่า เหตุคดีนี้เกิดขึ้นเวลา02.00 นาฬิกา โดยนายเขียนผู้เสียหายอ้างว่าตามเวลาดังกล่าวตนเพิ่งกลับมาจากไปรับชำระเงินค่าหุ้นจากสมาชิกศูนย์สาธิตการตกลงของหมู่บ้านซึ่งนับว่าเป็นเรื่องผิดปกติเป็นอันมากเพราะเวลาดึกดื่นขนาดนั้นไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีสมาชิก ฯ ไปชำระเงินค่าหุ้น พฤติการณ์ดังกล่าวเจือสมพยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบว่าคืนเกิดเหตุนายเขียนร่วมกับนายแดงเดช นายจำนงค์ เป็นเจ้ามือเล่นการพนันไฮโล โดยจำเลย นายจรูญ นายวาสนา นางสุดและคนอื่น ๆ เข้าร่วมเล่น เล่นจนถึงเวลา 01.00 นาฬิกา ของวันเกิดเหตุจึงเลิกแล้วเดินกลับบ้าน เมื่อมาถึงบ้านนายเขียนจำเลยได้ขอเงินไปซื้ออะไรกินก่อนนายเขียนรับปากว่าจะให้แต่ขอให้แบ่งเงินระหว่างเจ้ามือกันก่อน และให้จำเลยตามไปเอาบนบ้าน จำเลยจึงเดินตามนายเขียนขึ้นไป ทั้งยังได้ความจากนายพรหมาพยานโจทก์ซึ่งบ้านอยู่ติด ๆ บ้านนายเขียนและขณะเกิดเหตุได้เห็นเหตุการณ์ด้วยว่า ได้ยินจำเลยพูดขอเงินคืนจากนายเขียนทำนองว่าจำเลยเสียพนันให้แก่นายเขียนแล้วขอเงินคืนพยานหลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้น่าเชื่อว่าการที่จำเลยขึ้นไปบนบ้านนายเขียนนั้นเป็นเพราะนายเขียนอนุญาตให้จำเลยขึ้นไปได้การกระทำของจำเลยจึงหาเป็นความผิดฐานบุกรุกไม่ ส่วนความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์นั้นศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าจำเลยเล่นการพนันไฮโลกับนายเขียนและเล่นเสียจนหมดตัว จึงตามมาที่บ้านนายเขียนแล้วขอเงินคืนจากนายเขียวส่วนหนึ่งอ้างว่าเพื่อจะนำไปซื้อของกินกันกับผู้เข้าเล่นคนอื่น ๆ เมื่อนายเขียนให้เงินจำเลย 20 บาท จำเลยต้องการจะเอาอีกนายเขียนไม่ยอมให้จำเลยจึงแย่งจะเอาเงินจากกระเป๋าเสื้อของนายเขียนแต่แย่งไม่ได้เมื่อมีคนร้องห้ามปรามจำเลยก็จากไป ลักษณะการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการถือวิสาสะเพื่อจะเอาเงินที่จำเลยกับพวกของจำเลยเล่นการพนันไฮโลเสียแก่นายเขียนจนหมดตัวคืนมาจากนายเขียนเพื่อนำไปซื้ออาหารกิน การกระทำของจำเลยหาได้กระทำไปโดยเจตนาที่จะใช้กำลังประทุษร้ายนายเขียนไม่ ดังจะเห็นได้จากการที่จำเลยถูกนายเขียนตีศอกถูกที่ศีรษะหลายครั้งจนศีรษะแตกมีโลหิตไหล 2 แผล จำเลยก็มิได้โต้ตอบด้วยการทำร้ายนายเขียนให้ได้รับบาดเจ็บกลับเดินลงจากบ้านไปแต่โดยดี อนึ่งการที่เมื่อจำเลยลงมาจากบ้านนายเขียนแล้วจำเลยได้ทำลายโอ่งน้ำของนายเขียนแตกไป 1 ใบนั้น แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีอารมณ์โกรธเคืองที่เล่นการพนันเสียจนหมดตัวและมาขอเงินคืนบางส่วนไม่ได้ ทั้งการกระทำของจำเลยก็ถือไม่ได้ว่ามีเจตนาทุจริต เพราะปรากฏว่าจำเลยได้กระทำการต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วบนบ้านนายเขียนซึ่งเป็นสารวัตรกำนันต่อหน้าคนหลายคน เป็นการผิดวิสัยของคนร้ายที่จะมาชิงทรัพย์ดังฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำขอจำเลยหาเป็นความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานพยายามชิงทรัพย์และบุกรุก ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน