โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินและก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดฟันต้นไม้ ทำลายป่า ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ และทำให้เกิดความเสียหายแก่ไม้สัก ร่วมกันทำไม้สัก กับไม้ชนิดอื่นอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. และร่วมกันมีไม้ดังกล่าวอันมิได้แปรรูปจำนวน 13 ท่อนไว้ในความครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ.2507 มาตรา 14, 31 ที่แก้ไขใหม่พระราชบัญญัติป่าไม้พุทธศักราช 2484 มาตรา 11, 54, 55, 69, 72 ตรี, 73 ที่แก้ไขใหม่ข้อหายึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติจำคุก 6 เดือนปรับ 5,000 บาทข้อหามีไม้หวงห้ามอันมิได้แปรรูปในครอบครองจำคุก 1 ปีปรับ 5,000 บาทข้อหาทำไม้ลงโทษบทหนักตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ฯ จำคุก 1 ปีปรับ 5,000 บาทรวมจำคุก 2 ปี 6 เดือนปรับ15,000 บาทจำเลยรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี 3 เดือนปรับ 7,500 บาทไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา29, 30 โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี
โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยในข้อหาทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยในข้อหาทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ.2507 มาตรา 14, 31วรรคสองจำคุก 2 ปีจำเลยรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปีรวมกับโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้วเป็นจำคุก 1 ปี 9 เดือนไม่ปรับและไม่รอการลงโทษ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้นำสืบว่าจำเลยเป็นผู้ตัดฟัน โค่นไม้สักตามฟ้องแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 นั้นปรากฏว่าข้อหาดังกล่าวกฎหมายกำหนดโทษขั้นต่ำไว้ให้จำคุกไม่ถึง 5 ปีเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่ต้องสืบพยานโจทก์ได้ตามบทบัญญัติดังกล่าว ทั้งได้ความว่าจำเลยมีอาชีพค้าขายวิทยุ นาฬิกา แว่นตา ปากกาและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่จังหวัดนครสวรรค์แต่ไปยึดถือครอบครองทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติในท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งมีไม้สักไม้มีค่าชนิดอื่น ของป่าและทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ จำนวนมาก พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่สมควรรอการลงโทษ
ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ.2507 มาตรา 14, 31วรรคสองที่แก้ไขแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำผิดของจำเลยในข้อหาดังกล่าวเป็นความผิดทั้งตามพระราชบัญญติป่าไม้พุทธศักราช 2484 มาตรา 11, 73 วรรคสองที่แก้ไขแล้วและพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ.2507 มาตรา 14, 31 วรรคสองที่แก้ไขแล้วอันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษบทหนักตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ฯ มาตรา 73 วรรคสองที่แก้ไขแล้วและปัญหาปรับบทดังกล่าว แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่าเฉพาะข้อหาทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้พุทธศักราช 2484 มาตรา11, 73 วรรคสองซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.