โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินไปจากโจทก์โดยจำเลยทั้งห้าได้นำที่ดินมาจำนองเป็นประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง แต่จำเลยทั้งห้าเพิกเฉย จึงขอให้พิพากษาและบังคับ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ให้การต่อสู้คดีหลายประการ และต่อสู้ว่าการบอกกล่าวบังคับจำนองทางหนังสือพิมพ์เป็นการไม่ชอบ จำเลยไม่เคยได้รับคำบอกกล่าวบังคับจำนอง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง ถ้าไม่ชำระให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดบังคับจำนอง
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้บอกกล่าวบังคับจำนองทางหนังสือพิมพ์แต่เพียงอย่างเดียว แต่ทนายโจทก์ได้ส่งหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยทุกคนด้วย โดยเฉพาะจำเลยที่ 3 โจทก์มีใบตอบรับตามเอกสารหมาย จ.16ซึ่งมีผู้ลงชื่อรับหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไว้แทนจำเลยที่ 3 เป็นหลักฐานด้วยข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้รับคำบอกกล่าวบังคับจำนองจากโจทก์แล้วส่วนจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 นั้น เมื่อได้ตรวจสอบหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองที่มีถึงจำเลยทั้งสามก็ปรากฏว่า โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยทั้งสามตามภูมิลำเนาที่ปรากฏในหนังสือสัญญาจำนอง โดยเฉพาะจำเลยที่ 4โจทก์มีใบรับเอกสารหมาย จ.15 ซึ่งมีผู้ลงชื่อรับแทนจำเลยที่ 4 เป็นหลักฐานด้วยส่วนจำเลยที่ 5 ก็ปรากฏว่า จำเลยที่ 5 เป็นภริยาของจำเลยที่ 3 จึงย่อมจะต้องทราบคำบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว สำหรับจำเลยที่ 2 แม้จะปรากฏข้อความบันทึกไว้ที่หน้าซองหนังสือบอกกล่าวว่าบ้านรื้อถอนไปแล้วก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็มิได้จำนองประกันเงินกู้ของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียวซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าจำเลยที่ 2ยังไม่ทราบคำบอกกล่าวแต่จำเลยที่ 2 ได้จำนองร่วมกับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4และจำเลยที่ 5 เมื่อจำเลยอื่นได้รับทราบคำบอกล่าวบังคับจำนองจากโจทก์จึงมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่า จำเลยที่ 2 ก็ย่อมจะต้องทราบเช่นกัน นอกจากนั้นจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ก็มิได้นำสืบปฏิเสธเป็นอย่างอืนข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ได้รับทราบคำบอกกล่าวบังคับจำนองจากโจทก์แล้วเช่นกัน แต่ที่ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดในต้นเงิน 860,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 8 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2520 นั้นไม่ถูกต้อง เพราะจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มิได้เป็นลูกหนี้ร่วมแต่เป็นผู้ที่นำอสังหาริมทรัพย์ของตนมาจำนองเป็นประกันตามวงเงินที่กำหนดในสัญญาจำนองเท่านั้น จำเลยที่ 2ถึงที่ 5 จึงไม่ต้องรับผิดเกินวงเงินตามสัญญาจำนอง
พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะส่วนความผิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจำนองแต่ละฉบับ