โจทก์ฟ้องว่า ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2518 โจทก์มีกำไรสุทธิสำหรับคำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 296,428.15 บาท และได้ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 59,285.63 บาท เมื่อปี 2520เจ้าพนักงานกองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากร กรมตำรวจ ได้นำสมุดบัญชีพร้อมเอกสารต่าง ๆ ซึ่งเป็นหลักฐานในการลงบัญชีประจำปี2518 และ 2519 ของโจทก์ไปตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบว่าในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2518 โจทก์ลงบัญชีไม่ครบถ้วน ยอดรายได้ที่ต้องนำมาคำนวณกำไรสุทธิต่ำไปเป็นเงิน 95,861 บาท โจทก์ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มอีก 19,172.20 บาท โจทก์ได้นำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระต่อจำเลยที่ 1 แล้ว เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2520กองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรคืนสมุดบัญชีและเอกสารต่าง ๆที่นำไปตรวจสอบแก่โจทก์ ผู้แทนโจทก์รับแล้วหลงลืมไว้ในรถแท็กซี่บางส่วน เป็นเหตุให้สูญหายไป ผู้แทนโจทก์ได้แจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลจักรวรรดิ์ ต่อมาวันที่ 9 กันยายน 2520 เจ้าพนักงานประเมินกองตรวจภาษีของจำเลยที่ 1 ออกหมายเรียกให้โจทก์นำบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2518, 2519 และ2520 ไปให้ตรวจสอบโจทก์นำบัญชีและเอกสารไปส่งมอบให้เมื่อวันที่24 มกราคม 2521 ต่อมาวันที่ 30 สิงหาคม 2522 โจทก์ได้รับหนังสือจากเจ้าพนักงานประเมินว่าในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2518 โจทก์มียอดขายเป็นเงิน 16,561,490 บาท โจทก์นำบัญชีไปให้ตรวจสอบตามมาตรา 19แห่งประมวลรัษฎากรไม่ครบถ้วนจึงต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 2ของยอดรายรับหรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายคิดเป็นเงิน 331,229.80 บาทหักภาษีที่ชำระแล้วต้องชำระเพิ่มอีก 252,771.97 บาท โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 71(1) แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยจึงยื่นอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คือจำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 ว่า โจทก์มิได้บิดพลิ้วหรือหลีกเลี่ยงไม่นำบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไปให้ตรวจสอบ แต่เพราะเอกสารบางรายการสูญหายไปก่อนและบัญชีเหล่านั้นผ่านการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่กองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรมาแล้ว อีกทั้งยังสามารถใช้วิธีวิเคราะห์ข้อมูลได้อีกการประเมินภาษีโดยอาศัยมาตรา 70(1) ไม่ถูกต้องคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินถูกต้อง ยกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์เห็นว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ถูกต้อง ขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว เพราะที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2518 มีเหตุอันสมควรเชื่อว่าไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินจึงออกหมายเรียกให้โจทก์นำบัญชีซึ่งต้องทำตามกฎหมายว่าด้วยบัญชีพร้อมทั้งเอกสารประกอบการลงบัญชีของปีนั้นไปมอบให้เจ้าพนักงานประเมินเพื่อตรวจสอบ แต่โจทก์ส่งมอบสมุดบัญชีลูกหนี้-เจ้าหนี้เพียงเล่มเดียว ส่วนสมุดบัญชีเงินสด สมุดบัญชีซื้อ-ขาย สมุดบัญชีทรัพย์สิน สมุดบัญชีแยกประเภทรายได้-รายจ่าย บัญชีงบดุล บัญชีทำการบัญชีกำไร-ขาดทุน โจทก์หลีกเลี่ยงไม่ส่งบัญชีและเอกสารบางส่วนที่โจทก์ส่งมอบให้เจ้าพนักงานไม่เป็นการเพียงพอที่จะตรวจสอบภาษีได้ถือได้ว่าโจทก์จงใจไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกและเป็นการไม่นำบัญชีไปให้เจ้าพนักงานประเมินทำการไต่สวนตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานประเมินไม่อาจทราบรายละเอียดกำไรขาดทุนเพื่อใช้คิดคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ถ้าพนักงานประเมินทราบแต่เพียงว่าโจทก์มียอดขายสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2518 เป็นเงิน16,561,490 บาท เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจตามประมวลรัษฎากรมาตรา 71(1) ทำการประเมินภาษีในอัตราร้อยละ 2 ของยอดขายก่อนหักรายจ่ายใด ๆ และข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าหลงลืมสมุดเอกสารไว้ในรถแท็กซี่เป็นเหตุให้สูญหายไป จะนำมาเป็นข้อยกเว้นให้โจทก์ไม่ต้องส่งบัญชีและเอกสารไม่ได้และโจทก์ไม่แจ้งเรื่องบัญชีสูญหายต่อสำนักงานกลางบัญชี หรือสำนักงานบัญชีภายใน 15 วัน เป็นการฝ่าฝืนประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 285 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515ข้อ 15 มีความผิดตามข้อ 23 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่าโจทก์จะอ้างเอาความประมาทเลินเล่อของนายสุพัฒน์ กฤษฎาพงษ์กรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์มาเป็นเหตุยกเว้นไม่ต้องส่งสมุดบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีตามหมายเรียกที่เจ้าพนักงานประเมินออกตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 ประกอบมาตรา 71(1) ได้หรือไม่และสมุดบัญชีและเอกสารตามหมายเรียกนั้นเป็นเอกสารอันควรแก่เรื่องที่จะต้องตรวจสอบด้วยหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า หลังจากที่สมุดบัญชีและเอกสารต่าง ๆ ของโจทก์สูญหายไปแล้ว โจทก์เพียงแต่แจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลจักรวรรดิ์เท่านั้น หาได้แจ้งต่อสำนักงานกลางบัญชีหรือสำนักงานบัญชีให้ชอบด้วยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 285 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515ข้อ 15 ไม่ประกอบกับสมุดบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีที่เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกให้โจทก์นำส่งนั้น ก็ล้วนแต่เป็นเอกสารสำคัญที่สมควรแก่เรื่องที่เจ้าพนักงานประเมินมีความจำเป็นต้องตรวจสอบเพื่อประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ในปี 2518ทั้งสิ้น โจทก์จะอ้างเอาความประมาทเลินเล่อของกรรมการผู้จัดการของโจทก์เองที่ทำให้สมุดบัญชีและเอกสารดังกล่าวสูญหายไปซึ่งมิใช่เหตุสุดวิสัยมาเป็นข้อยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินหาได้ไม่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่นำสมุดบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีตามหมายเรียกมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการตรวจสอบตามมาตรา 19 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ปี 2518 ในอัตราร้อยละ 2 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ หรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ของรอบระยะเวลาบัญชีปีดังกล่าวแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่าได้ตามมาตรา71(1) แห่งประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับในขณะนั้น ดังกล่าว การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว"
พิพากษายืน.