โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 38, 42 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 91, 137, 267, 268, 353
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ให้ยกฟ้องเฉพาะความผิดตามฟ้อง ข้อ 2.3.4 และ ข้อ 4 ส่วนความผิดตามฟ้องข้ออื่นเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา 268 และพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 38 ให้ยก คงมีมูลให้ประทับฟ้องเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 353 และพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 (2) รวม 4 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งสามกระทงละ 8 เดือน รวม 4 กระทง จำคุกคนละ 32 เดือน
โจทก์และจำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า เมื่อกลางปี 2555 โจทก์ นางสาวรติรส นายพูนอังกูล และนายทักษพงษ์ ซึ่งเป็นบุตรของนายอนันต์ ตกลงร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 เพื่อทำธุรกิจก่อสร้างอาคารชุดเพื่อขาย ชื่อโครงการเซอราโน่ ใช้บริษัท อ. ในการดำเนินธุรกิจ เดิมบริษัทดังกล่าวก่อตั้งโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวก มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการซึ่งมีอำนาจลงลายมือผูกพันบริษัท การร่วมลงทุนดังกล่าวตกลงให้จำเลยที่ 2 ถือหุ้น 50,999 หุ้น จำเลยที่ 3 ถือหุ้น 1 หุ้น รวมจำนวนหุ้นคิดเป็นร้อยละ 51 โจทก์ นางสาวรติรส นายพูนอังกูลและนายทักษพงษ์ถือหุ้นคนละ 12,250 หุ้น รวมจำนวนหุ้นคิดเป็นร้อยละ 49 ซึ่งได้จดทะเบียนให้โจทก์กับพวกเป็นผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2556 และจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงจำนวนและอำนาจของกรรมการเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2556 เพิ่มนางสาวรติรสเป็นกรรมการอีกคนหนึ่ง โดยจำเลยที่ 2 และนางสาวรติรสเป็นกรรมการที่มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันบริษัทโดยลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัท เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2555 จำเลยที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 110788 เนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน 6.5 ตารางวา กับนายพงศ์ธวัช ในราคาตารางวาละ 45,000 บาท รวมเป็นเงิน 81,270,000 บาท วันที่ 23 สิงหาคม 2555 จำเลยที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 76657 เนื้อที่ 1,786.50 ตารางวา กับนายอนันต์ ในราคาตารางวาละ 45,000 บาท รวมเป็นเงิน 80,392,500 บาท ภายหลังที่ดินโฉนดเลขที่ 110788 แบ่งแยกเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 169185 เนื้อที่ 1 งาน 28.5 ตารางวา ที่ดินโฉนดเลขที่ 76657 แบ่งแยกเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 169184 เนื้อที่ 86.5 ตารางวา ต่อมาวันที่ 5 มิถุนายน 2556 จำเลยที่ 2 และนางสาววติรสในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัท อ. ทำสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 76657 โฉนดเลขที่ 169184 และโฉนดเลขที่ 169185 กับนายอนันต์และนายพงศ์ธวัช ในราคา 204,000,000 บาท 10,380,000 บาท และ 15,420,000 บาท ตามลำดับ และจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางขุนเทียน โดยจำเลยที่ 2 เสนอรายงานการประชุมวิสามัญครั้งที่ 6/2556 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2556 เรื่อง ซื้อที่ดินจำนวน 3 แปลง ต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อประกอบการทำนิติกรรมจดทะเบียน ต่อมาวันที่ 7 มิถุนายน 2556 จำเลยที่ 2 และนางสาวรติรสในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัท อ. ทำสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 110788 กับนายพงศ์ธวัช และจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน โดยเสนอรายงานการประชุมวิสามัญครั้งที่ 7/2556 ประกอบการทำนิติกรรมจดทะเบียน ต่อมาวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 บริษัท อ. นำส่งงบการเงินของบริษัท อ. รอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท โดยงบการเงินระบุว่า งบการเงินนี้ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีครั้งที่ 1/2557 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2557 ระบุว่าต้นทุนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 342,972,510.29 บาท และระบุว่ามีเงินกู้ระยะสั้นจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกัน 339,200,000 บาท วันที่ 25 พฤษภาคม 2558 บริษัท อ. นำส่งงบการเงินของบริษัท อ. รอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557 ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท โดยงบการเงินระบุว่า งบการเงินนี้ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีครั้งที่ 1/2558 เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 วันที่ 16 พฤษภาคม 2559 บริษัท อ. นำส่งงบการเงินของบริษัท อ. รอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท โดยงบการเงินระบุว่า งบการเงินนี้ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2559 และวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 บริษัท อ. นำส่งงบการเงินของบริษัท อ. รอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท โดยงบการเงินระบุว่า งบการเงินนี้ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2560 ความจริงแล้วบริษัท อ. ไม่มีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติงบการเงินดังกล่าวข้างต้น ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มจำนวนผู้ถือหุ้นของบริษัท และที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 2/2560 เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2560 มีมติถอดถอนนางสาวรติรสออกจากการเป็นกรรมการ คดีสำหรับจำเลยทั้งสามในความผิดตามฟ้อง ข้อ 2.3.4 และ ข้อ 4 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ยกฟ้อง ส่วนความผิดตามฟ้องข้ออื่นเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 268 และพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 38 ศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์ จึงเป็นอันยุติ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 2.2 อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 (2) หรือไม่ และตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องข้อ 2.3.1 ถึง 2.3.3 และข้อ 3.1 ถึงข้อ 3.3 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่กับปัญหาตามฎีกาและคำแก้ฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) หรือไม่ ซึ่งเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาและคำแก้ฎีกาของจำเลยทั้งสามเสียก่อนว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยหรือไม่ เห็นว่า นางสาวรติรสเป็นกรรมการที่มีอำนาจทำการแทนบริษัท อ. โดยลงลายมือชื่อร่วมกับจำเลยที่ 2 และประทับตราสำคัญของบริษัท ถือว่านางสาวรติรสเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัท อ. คนหนึ่ง เมื่อพิจารณาหนังสือสัญญาขายที่ดินทั้งสามแปลง รายงานการประชุมวิสามัญ ครั้งที่ 6/2556 และงบการเงินของบริษัท อ. รอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 และรอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557 ปรากฏว่านางสาวรติรสลงลายมือชื่อร่วมกับจำเลยที่ 2 ในเอกสารดังกล่าว ดังนั้น เมื่อบริษัท อ. ไม่เคยประชุมวิสามัญครั้งที่ 6/2556 และไม่เคยประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อรับรองงบการเงินทั้งสี่ปีดังกล่าว แสดงว่านางสาวรติรสมีส่วนรู้เห็นในการกระทำของจำเลยที่ 2 และยินยอมให้มีการลงข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารดังกล่าว ส่วนงบการเงินของบริษัท อ. รอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 และรอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 ซึ่งแม้ไม่ปรากฏว่านางสาวรติรสและจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อไว้ แต่ก็เป็นงบการเงินที่ยื่นทางอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งจัดทำต่อเนื่องมาจากงบการเงินปีก่อนที่นางสาวรติรสและจำเลยที่ 2 เคยลงลายมือชื่อไว้ แสดงว่างบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 และรอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 จัดทำขึ้นตามแนวทางเดิมที่นางสาวรติรสและจำเลยที่ 2 เคยปฏิบัติมาในปีก่อน ๆ ซึ่งหมายถึงการลงข้อความเท็จในงบการเงินว่างบการเงินนี้ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นแล้ว เชื่อว่านางสาวรติรสยินยอมให้มีการลงข้อความอันเป็นเท็จในงบการเงินดังกล่าวเช่นกัน ในการร่วมลงทุนก่อสร้างอาคารชุดเพื่อขายนั้น โจทก์ นางสาวรติรส นายพูนอังกูลและนายทักษพงษ์เป็นพี่น้องกันและได้ร่วมกันลงทุนกับจำเลยที่ 2 โดยโจทก์ นางสาวรติรส นายพูนอังกูล และนายทักษพงษ์ถือหุ้นคนละ 12,250 หุ้น รวมจำนวนหุ้นคิดเป็นร้อยละ 49 จำเลยที่ 2 ถือหุ้น 50,999 หุ้น จำเลยที่ 3 ถือหุ้น 1 หุ้น รวมจำนวนหุ้นคิดเป็นร้อยละ 51 เมื่อพิจารณาประกอบคำเบิกความของโจทก์และนางสาวรติรสที่เบิกความยืนยันว่าฝ่ายจำเลยที่ 2 ตกลงลงทุน 25,000,000 บาท ส่วนโจทก์และพี่น้องตกลงลงทุน 25,000,000 บาท แล้ว สอดรับกับการถือหุ้นดังกล่าว บ่งชี้ว่าการร่วมลงทุนดังกล่าวแบ่งผู้ลงทุนเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยที่ 2 โดยฝ่ายโจทก์มีนางสาวรติรสเป็นกรรมการที่มีอำนาจทำการผูกพันบริษัท ฝ่ายจำเลยที่ 2 มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการที่มีอำนาจทำการผูกพันบริษัท โดยนางสาวรติรสและจำเลยที่ 2 ต้องลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัทจึงจะมีอำนาจทำการผูกพันบริษัท แสดงว่านางสาวรติรสและจำเลยที่ 2 ต่างเข้ามาเป็นกรรมการของบริษัทเพื่อดูแลผลประโยชน์ของฝ่ายตน เมื่อโจทก์เป็นพี่น้องของนางสาวรติรสและร่วมลงทุนเป็นฝ่ายเดียวกับนางสาวรติรส จึงเป็นปกติที่โจทก์จะต้องคอยติดตามการดำเนินงานของบริษัทผ่านทางนางสาวรติรส เชื่อว่าโจทก์ทราบดีถึงการกระทำของนางสาวรติรสตลอดมาแต่โจทก์ไม่ได้คัดค้าน ดังนั้น เมื่อนางสาวรติรสมีส่วนรู้เห็นในการกระทำของจำเลยที่ 2 และยินยอมให้มีการลงข้อความอันเป็นเท็จในรายงานการประชุมวิสามัญ ครั้งที่ 6/2556 งบการเงินของบริษัท อ. รอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 รอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557 รอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 และรอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 ถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายเดียวกับนางสาวรติรสรู้เห็นและยินยอมให้มีการลงข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารดังกล่าวด้วย โจทก์จึงมีส่วนในการกระทำความผิด ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ไม่มีอำนาจฟ้อง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์และฎีกาของจำเลยทั้งสามในปัญหาอื่นเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์