คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถวเลขที่ 132 พร้อมส่งมอบตึกแถวดังกล่าวคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 2,120,000 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะส่งมอบอาคารคืนโจทก์ จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้ง ระหว่างพิจารณาโจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และจำเลยยื่นคำร้องขอถอนฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ ค่าขึ้นศาลตามฟ้องแย้งให้แก่จำเลยเป็นกรณีพิเศษ 150,000 บาท เงินประกันการทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์และค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ที่จำเลยวางต่อศาลพร้อมอุทธรณ์ 1,280,999 บาท โดยสั่งจ่ายเป็นเช็คจำนวน 2 ฉบับ มอบให้แก่จำเลยในวันที่ 17 มิถุนายน 2553 และมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 30 ตุลาคม 2558 ขอให้ศาลชั้นต้นออกเช็คฉบับใหม่แทนเช็คฉบับเดิมที่ศาลชั้นต้นสั่งจ่ายเพื่อคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 6,000 บาท ค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องแย้ง 150,000 บาท และเงินประกันการทุเลาการบังคับในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์พร้อมค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนรวม 1,280,999 บาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลได้ออกเช็คแทนการจ่ายเป็นเงินสด จำเลยในฐานะผู้มีสิทธิต้องนำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร เมื่อจำเลยมิได้นำเช็คที่ศาลออกให้ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารภายใน 5 ปี จึงถือเป็นเงินค้างจ่ายอยู่ที่ศาล โดยที่ศาลมีหน้าที่จะต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 (เดิม) จึงไม่สามารถเปลี่ยนเช็คให้จำเลยได้ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยมีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นออกเช็คสั่งให้ใช้เงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ ค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องแย้งและเงินประกันการทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์พร้อมค่าฤชาธรรมเนียมแทนเช็คฉบับเดิมได้หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 (เดิม) บัญญัติว่า "บรรดาเงินต่าง ๆ ที่ค้างจ่ายอยู่ในศาลหรือที่เจ้าพนักงานบังคับคดี ถ้าผู้มีสิทธิมิได้เรียกเอาภายในห้าปี ให้ตกเป็นของแผ่นดิน" เมื่อพิจารณาคำว่า "เรียกเอา" ประกอบกับคำว่า "บรรดาเงินต่าง ๆ ที่ค้างจ่ายอยู่ในศาล" แล้วเป็นที่เข้าใจได้ว่าผู้มีสิทธิรับเงินจะต้องเรียกเอาเงินหรือขอรับเงินที่ตนมีสิทธิจะได้รับจากศาลและต้องมารับเงินตามที่เรียกหรือขอด้วยหรือในกรณีที่ศาลออกเช็คแทนการจ่ายเป็นเงินสดผู้มีสิทธิรับเงินก็ต้องนำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร หากผู้มีสิทธิรับเงินเพียงแต่แถลงขอรับเงินจากศาลแต่ไม่มารับเงินตามที่ขอหรือมิได้นำเช็คที่ศาลออกให้ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร เงินที่ศาลจะต้องจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิดังกล่าวก็จะยังคงอยู่ที่ศาลและถือเป็นเงินค้างจ่ายอยู่ในศาลตามบทบัญญัติดังกล่าว คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 6,000 บาท ค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องแย้ง 150,000 บาท และเงินประกันการทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์พร้อมค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทน 1,280,999 บาท ให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2553 โดยสั่งจ่ายเป็นเช็คสองฉบับ คือ เช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เลขที่ 040xxxx ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2553 จำนวนเงิน 156,000 บาท และเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เลขที่ 038xxxx ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2553 จำนวนเงิน 1,280,999 บาท ให้แก่จำเลย ซึ่งจำเลยได้รับเช็คทั้งสองฉบับดังกล่าวไปจากศาลชั้นต้นแล้วเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2553 แต่จำเลยไม่ได้นำเช็คทั้งสองฉบับดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร เงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ ค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องแย้ง และเงินประกันการทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์พร้อมค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนที่ศาลสั่งคืนจึงเป็นเงินค้างจ่ายอยู่ในศาล การที่จำเลยยื่นคำแถลงขอรับเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ ค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องแย้ง และเงินประกันการทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์พร้อมค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนที่สั่งคืน และรับเช็คจากศาลแล้ว แต่มิได้นำเช็คที่ศาลออกให้ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ถือไม่ได้ว่าจำเลยใช้สิทธิเรียกเอาเงินดังกล่าวแล้ว และการที่ศาลชั้นต้นออกเช็คคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ ค่าขึ้นศาลตามฟ้องแย้ง เงินประกันการทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์ และค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ที่จำเลยวางต่อศาลพร้อมอุทธรณ์ให้จำเลยก็ไม่มีผลทำให้เงินดังกล่าวสิ้นสภาพจากการเป็นเงินค้างจ่ายอยู่ในศาลหรือเป็นเงินที่อยู่กับธนาคารดังที่จำเลยฎีกา เมื่อจำเลยไม่ได้เรียกเอาเงินดังกล่าวภายในกำหนดเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ศาลสั่งอนุญาต เงินดังกล่าวย่อมตกเป็นของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 (เดิม) จำเลยจะขอให้ศาลออกเช็คฉบับใหม่แทนเช็คฉบับเดิมเพื่อสั่งจ่ายเงินที่ตกเป็นของแผ่นดินแล้วมิได้ ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยนอกเหนือจากนี้เป็นรายละเอียดปลีกย่อยแม้วินิจฉัยให้ก็ไม่มีผลทำให้คดีเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษายกคำร้องของจำเลยต้องกันมานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ