โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยได้ประพฤติชั่วและทำการเป็นปรปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง ขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน และให้จำเลยแบ่งสินสมรสรวม ๑๑ รายการแก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยขอปฏิเสธคำฟ้องโจทก์ทั้งสิ้นทรัพย์สินอันดับ ๗ ไม่ใช่สินสมรส อันดับ ๘ ไม่ใช่ของจำเลย ขอให้โจทก์จดทะเบียนหย่ากับจำเลยและให้โจทก์แบ่งที่ดินอันเป็นสินสมรสให้จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์พร้อมจะแบ่งที่ดินตามฟ้องแย้งให้จำเลย
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์จำเลยแถลงร่วมกันว่ายอมหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน และรับข้อเท็จจริงและตกลงกันบางประการเกี่ยวกับทรัพย์สินตามฟ้องเดิมและฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยแบ่งสินสมรสรวม ๗ รายการให้แก่โจทก์ คำขออื่นของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับที่ดินรายการที่ ๗ อันเป็นสินสมรสให้จำเลยชดใช้ราคาให้โจทก์กึ่งหนึ่งแทนการแบ่งที่ดิน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ทรัพย์สินตามฟ้องบางรายการจำเลยยอมรับว่าเป็นสินสมรส โจทก์จำเลยได้ประนีประนอมยอมความแบ่งกัน ชอบที่ศาลจะคืนค่าธรรมเนียมศาลให้โจทก์นั้น เห็นว่า คดีนี้มิได้เสร็จเด็ดขาดลงโดยสัญญาหรือการประนีประนอมยอมความที่จะทำให้ศาลมีอำนาจคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแก่คู่ความที่เกี่ยวข้อง เป็นเพียงแต่คู่ความรับข้อเท็จจริงกันบางประการ ทรัพย์สินตามฟ้องบางรายการศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดไปตามที่คู่ความตกลงกัน บางรายการวินิจฉัยชี้ขาดไปตามพยานหลักฐานของคู่ความ ศาลชั้นต้นไม่อาจคืนค่าธรรมเนียมศาลให้โจทก์ได้ ในข้อที่จำเลยฎีกาขอให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมศาล (ในศาลชั้นต้น) ฝ่ายเดียวนั้น การที่จะพิจารณาให้คู่ความใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนั้น เป็นเรื่องการใช้ดุลพินิจของศาล โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการดำเนินคดีของคู่ความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๖๑ และศาลชั้นต้นก็ได้ใช้ดุลพินิจในเรื่องนี้เหมาะสมแล้ว
ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๒๑ ราคา ๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธในเรื่องราคา ต้องฟังว่าที่ดินแปลงนี้ราคา ๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์มีสิทธิอยู่กึ่งหนึ่ง จำเลยต้องใช้เงินให้โจทก์ ๔,๕๐๐,๐๐๐ บาทนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ดินแปลงนี้ซึ่งเป็นสินสมรสมีราคา ๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้จำเลยแบ่งให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ได้ระบุจำนวนเงินที่ขอแบ่งมาด้วย จึงเป็นเรื่องที่โจทก์เรียกร้องให้แบ่งทรัพย์สินที่โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยให้โจทก์มีสิทธิของโจทก์มิใช่เป็นเรื่องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการละเมิด หรือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ ซึ่งศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้ตามควรแก่พฤติการณ์ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเงินที่โจทก์เรียกร้องเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๒๑ เป็นค่าเสียหาย จำเลยปฏิเสธว่าที่ดินดังกล่าวมิใช่สินสมรส โจทก์ต้องนำสืบค่าเสียหาย ถ้าโจทก์สืบไม่ได้ศาลก็ต้องคำนวณให้ตามพฤติการณ์ปกติ และฟังว่าราคาที่ดินแปลงนี้ตามพฤติการณ์ปกติเป็นเงิน ๔,๓๖๐,๐๐๐ บาท พิพากษาให้จำเลยใช้ราคากึ่งหนึ่งเป็นเงิน ๒,๑๘๐,๐๐๐ บาท นั้น ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องด้วย เมื่อโจทก์ฟ้องว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๒๑ ซึ่งเป็นสินสมรสราคา ๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้จำเลยใช้ราคาแก่โจทก์กึ่งหนึ่ง จำเลยไม่ได้โต้เถียงเรื่องราคาที่ดินและจำนวนเงินที่โจทก์เรียกร้อง เมื่อจำเลยไม่ได้ยกเป็นประเด็นต่อสู้ไว้เช่นนี้ จึงต้องฟังตามคำฟ้องของโจทก์ว่าที่ดินแปลงนี้ราคา ๙,๐๐๐,๐๐๐๐ บาท จำเลยจึงต้องใช้ราคาให้โจทก์กึ่งหนึ่งเป็นเงิน ๔,๕๐๐,๐๐๐ บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๒๑ ให้จำเลยใช้ราคาให้โจทก์ ๔,๕๐๐,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์