โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ธนาคารสยาม จำกัด สาขาจรัลสนิทวงศ์ เป็นสาขาหนึ่งของโจทก์ จำเลยได้นำเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด ลงวันที่ 5 และ24 กรกฎาคม 2514 สั่งจ่ายเงิน 10,000 บาท และ 20,000 บาทตามลำดับ มาขายลดไว้กับธนาคารโจทก์โดยสัญญาว่า หากจำเลยไม่ชำระหนี้ดังกล่าวยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีเมื่อเช็คดังกล่าวถึงกำหนดชำระเงิน จำเลยได้มาทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้กับโจทก์ รวมเป็นเงิน 71,058.78 บาท โดยสัญญาว่าจะชำระเงิน20,000 บาท ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2524 ที่เหลือชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 2,000 บาท ภายในสิ้นเดือนของทุกเดือนเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2524 หากผิดนัดยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ในยอดเงินที่ค้างชำระเมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ ขอคิดดอกเบี้ยกับจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีในต้นเงิน 71,058.78 บาทนับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2524 จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1,312 วันเป็นเงิน 48,430.19 บาท รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ย 119,588.97 บาทขอให้จำเลยชำระเงิน 119,588.97 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ19 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 71,058.78 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่นิติบุคคลตามกฎหมายผู้ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความของโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อจริงธนาคารสยาม จำกัด สาขาจรัลสนิทวงศ์มิได้มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยนำเช็คไปขายให้โจทก์ ไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามฟ้อง และคดีของโจทก์ขาดอายุความ หากศาลเชื่อว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จริง หนี้โจทก์ก็ไม่ถึงตามจำนวนเงินในฟ้อง เพราะโจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้น ดอกเบี้ยที่โจทก์คิดจึงเป็นเรื่องดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยอันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 จึงเป็นโมฆะจำเลยมีหน้าที่จ่ายให้โจทก์ตามจำนวนเงินในเช็คตามฟ้องเป็นเงิน30,000 บาท เท่านั้น ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 71,058.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงิน 30,000 บาท นับแต่วันที่8 กรกฎาคม 2524 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้แก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การที่จำเลยมีหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ที่มีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยอยู่เดิมให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็ค 2 ฉบับ รวมเป็นเงิน 30,000 บาท แม้จำเลยยอมรับตามหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ดังกล่าวว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวนเงินตามเช็คทั้งสองฉบับกับดอกเบี้ยค้างชำระเป็นเงิน41,058.78 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 71,058.78 บาท ก็ตามแต่ในหนังสือดังกล่าวก็ระบุไว้ชัดว่าจำเลยตกลงจะขอชำระหนี้จำนวน20,000 บาท ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2524 และขอผ่อนชำระหนี้ที่เหลือเดือนละ 2,000 บาท ภายในวันสิ้นเดือนของทุกเดือนเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2524 หากผิดนัดยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีตามปกติทั้งในหนังสือดังกล่าวยังขอให้โจทก์งดคิดดอกเบี้ยในระหว่างผ่อนชำระและลดหย่อนให้บ้างด้วยหาได้รับสภาพหนี้ในต้นเงิน 71,058.78 บาท โดยยินยอมให้โจทก์เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้ากับต้นเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 ไม่ ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในต้นเงิน 30,000 บาท ตามเช็คทั้งสองฉบับรวมกันซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีอยู่เต็มต่อจำเลยผู้เป็นลูกหนี้เท่านั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน