คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกนายฐานุตร์ โจทก์สำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 นางสาวพรรณทิภา โดยนางรัชนีผู้แทนโดยชอบธรรม โจทก์สำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 2 และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสมพันธ์ร่วมกับผู้อื่นปลอมพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองของนายสมพันธ์ โดยแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในพินัยกรรมจากเดิม "นายสัมพันธ์" เป็น "นายสมพันธ์" พินัยกรรมจึงไม่สมบูรณ์และเป็นโมฆะเพราะนายสมพันธ์ไม่ลงลายมือชื่อกำกับไว้ พยานสองคนผู้ลงลายมือชื่อรับรองพินัยกรรมมิได้ลงลายมือชื่อพร้อมกันต่อหน้าผู้ทำพินัยกรรม ลายมือชื่อนายสมพันธ์ในพินัยกรรมเป็นลายมือชื่อปลอมและนายสมพันธ์มิได้ร่วมรู้เห็นในการทำพินัยกรรมดังกล่าว ขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองของนายสมพันธ์ไม่สมบูรณ์เป็นโมฆะ และเพิกถอนทำลายพินัยกรรมดังกล่าว
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ
โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย 600 บาท
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การใช้ยาลบหมึกลบถ้อยคำแล้วพิมพ์ใหม่ว่า เป็นต้นฉบับหรือคู่ฉบับ และแก้ไขจากชื่อนายสัมพันธ์เป็นนายสมพันธ์ในพินัยกรรม เป็นการแก้ไขเพื่อให้ถูกต้องตรงตามความจริงเท่านั้น นอกจากนี้การใช้ยาลบหมึกลบถ้อยคำและการแก้ไขชื่อก็ได้กระทำโดยผู้ทำพินัยกรรมและพยานรู้เห็นทั้งกระทำก่อนที่จะเสร็จสมบูรณ์เป็นพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง กล่าวคือ ก่อนที่นางลักษณาซึ่งปฏิบัติราชการแทนผู้อำนวยการเขตตลิ่งชันจะลงลายมือชื่อและประทับตราสำนักงานเขตตลิ่งชันเป็นสำคัญตาม ป.พ.พ. มาตรา 1658 (4) ดังนี้ไม่ถือว่าเป็นการขูด ลบ ตก เติมหรือการแก้ไขอย่างอื่นซึ่งพินัยกรรมจึงไม่จำต้องให้ผู้ทำพินัยกรรม พยานและนางลักษณาซึ่งปฏิบัติราชการแทนผู้อำนวยการเขตตลิ่งชันลงลายมือชื่อกำกับตาม ป.พ.พ. มาตรา 1658 วรรคสอง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.