โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่  ๑  ได้ทำสัญญาขอเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์จำนวนหนึ่ง  โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน  ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ขอเบิกเงินเกินบัญชีอีก  อีกจำนวนหนึ่งโดยมีจำเลยที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกัน  จำเลยได้เบิกเงินเกินบัญชีไปเป็นจำนวน ๑๐๔,๕๘๕.๓๓ บาท  แล้วจำเลยไม่ชำระ  จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสามชำระหนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่  ๑  สู้ได้ว่า  ได้เคยเบิกเงินเกินบัญชี  แต่ได้ตกลงทำลังใส่ใบยาส่งนอก  หักผ่อนชำระกันเสร็จสิ้นไปแล้ว เข้าใจว่าไม่มีหนี้สินเกี่ยวข้อง  แต่เพื่อไม่ให้ยุ่งยากขอรับผิดใช้เงินแก่โจทก์  ๕๐,๐๐๐ บาท  โดยจะผ่อนชำระให้เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท  โดยมีผู้ค้ำประกัน
จำเลยที่  ๒  สู้ว่า  จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันเงินเกินบัญชีของ จำเลยที่  ๑ ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท  ในระยะ ๖ เดือน  โจทก์มิได้แสดงในฟ้องว่าจำเลยที่  ๒ จะต้องรับผิดเป็นจำนวนเงินเท่าใด  จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม  จำเลยเซ็นชื่อในฐานะผู้ค้ำประกันเท่านั้น  ไม่ได้ยอมให้ถือว่าเป็นลูกหนี้ร่วมด้วย  โจทก์ยอมผ่อนเวลาให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีอีก   โดยมิได้บอกให้จำเลยที่ ๒ รู้เห็นยินยอมด้วยจำเลยที่ ๒  ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด  โจทก์ยอมให้จำเลยที่  ๑  เบิกเงินเกินบัญชีอีก ๓๐,๐๐๐ บาท  และมีจำเลยที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกัน   จำเลยที่  ๒ จึงไม่ทราบว่าต้นเงินรวมกับดอกเบี้ยเฉพาะที่จำเลยที่ ๒ ค้ำประกันไว้เป็นจำนวนเท่าใด   โจทก์ว่าจำเลยที่ ๑  นำเงินเข้าบัญชีฝากเพื่อกลบหนี้  แต่ก็มิได้แยกส่วนที่จำเลยที่ ๒  และที่ ๓  จะต้องรับผิดกันในระยะใด  และเป็นจำนวนคนละเท่าใด  จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมโจทก์ยอมให้จำเลยที่ ๓  มาค้ำประกันโดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่  ๒  ทราบ  และจำเลยที่ ๒  มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย  จำเลยที่ ๒ จึงพ้นจากความรับผิดต่อโจทก์  เพราะโจทก์ได้เปลี่ยนตัวผู้ค้ำประกันใหม่แล้ว  คดีโจทก์ก็ขาดอายุความ
จำเลยที่ ๓  สู้ว่า  ได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ ๑  มีระยะ ๑๒ เดือนจริง  แต่ข้อความอื่นในสัญญาเป็นการจำยอม  จึงเป็นโมฆะ  โจทก์ไม่เคยแจ้งให้จำเลยที่ ๓  ทราบว่าจำเลยที่ ๑ เบิกเงินไปเท่าใด  โจทก์ยินยอมผ่อนเวลาให้จำเลยที่ ๑  โดยจำเลยที่ ๓ ไม่รู้เห็นยินยอม  ทำให้จำเลยที่ ๓ เสียหาย  จำเลยที่ ๓  หลุดพ้นจากความรับผิดแล้ว  จำเลยที่  ๑ ขอเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์สองจำนวน  โจทก์เอาหนี้ทั้งสองจำนวนมาปนและคิดดอกเบี้ยทบต้นโดยมิได้แบ่งแยกความรับผิดแต่ละจำนวนแต่ละคนเป็นฟ้องเคลือบคลุม  จำเลยที่ ๓  ไม่ต้องรับผิดเท่าจำนวนที่โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์ชอบที่จะบังคับหนี้เอาจากจำเลยที่  ๑ ก่อน  ถ้าไม่ได้ต้องบังคับเอาจากจำเลยที่ ๒ ก่อน  โจทก์ปล่อยให้ดอกเบี้ยพอกพูน  จำเลยจึงไม่ยอมรับผิด  และควรให้จำเลยผ่อนชำระเป็นงวด ๆ
ภายหลังสืบพยานโจทก์ได้ ๑ ปาก  จำเลยที่  ๓ ยอมใช้เงินให้โจทก์ ๒๐,๐๐๐ บาท  โจทก์ยอมรับและถอนฟ้องจำเลยที่ ๓ ซึ่งศาลอนุญาตให้ถอนได้  สำหรับจำเลยที่  ๒ ตกลงกันไม่ได้  จึงได้พิจารณากันต่อไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า  จำเลยที่  ๑ ไม่มีหน้าที่ต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕  ตามที่โจทก์เรียกร้อง  จำเลยที่  ๒ ต้องรับผิดเพียง ๑๔,๕๑๖.๕๖ บาทเท่านั้น  โจทก์ไม่มีสิทธิจะบังคับให้จำเลยที่  ๒ ต้องรับผิดในดอกเบี้ยทบต้นจากเงิน  ๑๔,๕๑๖.๕๖ บาท  พิพากษาให้จำเลยที่ ๑  ใช้ต้นเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีให้โจทก์เป็นเงิน ๔๖,๖๔๗.๑๖ บาท  พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี  โดยวิธีคิดดอกเบี้ยทบต้นตามประเพณีของธนาคาร  หากโจทก์จะเรียกให้จำเลยที่ ๒ รับผิด  ก็ให้จำเลยที่ ๒ ใช้เงินกู้เบิกเกินบัญชีแก่โจทก์เพียง  ๑๔,๕๑๖.๕๖ บาท  ทั้งนี้ไม่ต้องรับผิดรวมถึงดอกเบี้ยทบต้น  หลังวันที่  ๑๐  พฤษภาคม  ๒๓๙๙  ด้วย
จำเลยที่ ๒  อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒  ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  กรณีค้ำประกันไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่ามีกำหนดอายุความเท่าใด  จึงมีกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๑๖๔ และคดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม  ที่โจทก์ให้จำเลยที่ ๓ เข้าค้ำประกันจำเลยที่ ๑  หาทำให้จำเลยที่ ๒ พ้นความรับผิดต่อโจทก์ไม่  เพราะจำนวนเงินที่พิพาทกัน  สำหรับจำเลยที่ ๒  และจำเลยที่ ๓  กับโจทก์นั้นตามสัญญาให้เบิกเงินเกินบัญชีได้ในอัตราต่างกันเพราะทำคนละคราวกัน  การที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ ๓ มาเป็นผู้ค้ำประกัน  ไม่ถือว่าโจทก์สละสิทธิ์ที่จะให้จำเลยที่ ๒ รับผิดต่อไป  จำเลยที่ ๒ ที่ ๓  มีความรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันการที่จำเลยที่ ๑ เบิกเงินเกินบัญชี  อันเป็นบัญชีเดียวกัน  จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดอยู่ตามจำนวนที่จำเลยที่ ๑  เป็นลูกหนี้ภายในจำนวนที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓  ค้ำประกันไว้  แม้โจทก์ยอมรับการชำระหนี้จากจำเลยที่ ๓ เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทและปลดหนี้ให้โดยการถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๓ เสียนั้น  ก็หาใช่เป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒  จนถึงกับให้จำเลยที่ ๒ หลุดพ้นความรับผิดไปด้วยไม่  เพราะหนี้รายนี้ยังมิได้ชำระโดยสิ้นเชิง  การปลดหนี้ดังกล่าวคงเป็นประโยชน์เพียงเท่าส่วนที่ได้ปลดไปเท่านั้น
ประเด็นข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า  ต้นเงิน ๑๔,๕๑๖.๕๖ บาท  เป็นจำนวนหนี้แท้จริง  และจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดต่อโจทก์  และต้นเงินจำนวนนี้เป็นต้นเงินก่อนที่จำเลยที่ ๓ เข้าค้ำประกัน   ที่ว่าบริษัทจำเลยที่ ๒ ไม่มีวัตถุประสงค์ค้ำประกันหนี้จะต้องรับผิดหรือไม่  ไม่เป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน  เมื่อมิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น  จำเลยที่ ๒ ก็ไม่มีสิทธิอ้างอิงปัญหาดังกล่าวนี้
พิพากษายืน  ยกฎีกาจำเลยทั้งสอง