ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบแร่หินทราย น้ำหนัก 51,795 กิโลกรัม รถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลาง ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 มาตรา 174
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องกับคืนรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางแก่ผู้คัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ริบแร่หินทราย น้ำหนัก 51,795 กิโลกรัม รถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 มาตรา 174
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมพิพากษายืน ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2558 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานร่วมกันตรวจยึดรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงขนหิน จำนวน 22 คัน ได้ที่บริเวณถนนสายอุบลราชธานี – เขมราฐ และถนนสายเขมราฐ – ปากแซง ตำบลนาแวง อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นของกลาง พร้อมจับกุมนายสุรพลซึ่งเป็นคนขับรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วง ดำเนินคดีในความผิดฐานใช้ยานพาหนะที่มีน้ำหนักบรรทุกหรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่ผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดินกำหนดเดินบนทางหลวงแผ่นดินโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ซึ่งต่อมาศาลพิพากษาลงโทษนายสุรพลและคดีถึงที่สุดแล้ว ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6045/2558 ของศาลชั้นต้น จากนั้นวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานีทำการตรวจสอบหินที่ตรวจยึดไว้ ผลปรากฏว่าเป็นหินอุตสาหกรรม ชนิดแร่หินทราย น้ำหนัก 51,795 กิโลกรัม จึงแจ้งความดำเนินคดีแก่นายสุรพลในความผิดฐานขนแร่โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ต่อมาวันที่ 10 กรกฎาคม 2558 เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรเขมราฐส่งมอบรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงพร้อมแร่หินทรายของกลางให้แก่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อเก็บรักษาอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่อนุมัติให้ขายแร่หินทรายของกลางเนื่องจากหากเก็บรักษาไว้อาจสูญหายและไม่มีผู้เก็บรักษาแร่หินทรายของกลางแทน ส่วนรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานีทำสัญญาฝากรักษากับผู้คัดค้านไว้ปีต่อปี ต่อมาผู้ร้องมีคำสั่งไม่ฟ้องนายสุรพลเนื่องจากคดีขาดอายุความ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอให้ริบแร่หินทราย รถบรรทุกลากจูง และรถพ่วงของกลางเป็นคดีนี้ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านเฉพาะรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลาง ส่วนแร่หินทรายของกลางไม่มีผู้ใดยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ริบแร่หินทราย รถบรรทุกลางจูงและรถพ่วงของกลาง ในส่วนของแร่หินทราย ไม่มีผู้ใดอุทธรณ์ คดีในส่วนนี้จึงเป็นอันยุติไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านข้อแรกว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์สินของกลางหรือไม่ โดยเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้ริบทรัพย์สินของกลางโดยปรับบทตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 มาตรา 174 เป็นการถูกต้องหรือไม่ เห็นว่า ขณะนายสุรพล กระทำความผิดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2558 นั้น อยู่ในระหว่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ใช้บังคับ ต่อมามีพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ประกาศใช้บังคับ ซึ่งตามกฎหมายดังกล่าว มาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 และให้ใช้พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 แทน แต่บทบัญญัติในเรื่องการริบทรัพย์สินเนื่องจากการกระทำความผิดตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่กับกฎหมายเดิมไม่แตกต่างกัน ต้องใช้กฎหมายในขณะกระทำความผิดบังคับแก่คดี จึงต้องปรับบทตามมาตรา 154 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 มาตรา 174 มานั้น จึงไม่ถูกต้อง การปรับบทกฎหมายเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 สำหรับที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า คดีนี้ผู้ร้องมีคำสั่งไม่ฟ้องนายสุรพลในความผิดฐานขนแร่หินทรายโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเนื่องจากคดีขาดอายุความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) เจ้าพนักงานไม่มีอำนาจที่จะยึดรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางไว้อีกต่อไป ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลริบทรัพย์สินของกลางนั้น เห็นว่า ตามมาตรา 154 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดเหตุ บัญญัติว่า "บรรดาแร่ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ สัตว์พาหนะ ยานพาหนะ หรือเครื่องจักรกลใด ๆ ที่บุคคลได้มาหรือได้ใช้ในการกระทำความผิด หรือมีไว้เนื่องในการกระทำความผิด หรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามมาตรา 132 ทวิ... มาตรา 148... ให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่" โดยมาตรา 148 เป็นบทลงโทษในความผิดฐานขนแร่โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา 154 ดังกล่าวประสงค์ที่จะให้ศาลมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยมิต้องคำนึงว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ จึงไม่จำต้องฟ้องหรือขอให้ลงโทษผู้ใดเป็นผู้กระทำความผิดมาด้วย และมีความหมายรวมตลอดไปถึงกรณีที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาอันเนื่องมาจากคดีขาดอายุความซึ่งมีผลในทำนองเดียวกันคือไม่มีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาของศาลด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายสุรพลขับรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางขนแร่หินทรายโดยไม่ได้รับใบอนุญาต กรณีจึงถือได้ว่ามีการกระทำความผิดฐานขนแร่โดยไม่ได้รับใบอนุญาตเกิดขึ้นแล้ว จึงต้องฟังว่ารถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางเป็นยานพาหนะที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดอันเป็นทรัพย์ที่ต้องริบเสียทั้งสิ้น การที่ผู้ร้องมีคำสั่งไม่ฟ้องนายสุรพลนั้นจึงหาได้กระทบถึงสิทธิการร้องขอให้ริบทรัพย์สินของกลางของผู้ร้องดังที่ผู้คัดค้านฎีกาแต่อย่างใดไม่ ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งริบรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางได้ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องในคดีนี้ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านข้อต่อไปว่า มีเหตุที่ศาลจะสั่งคืนรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางให้แก่ผู้คัดค้านหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 154 วรรคสาม บัญญัติให้เป็นหน้าที่ของผู้คัดค้านต้องพิสูจน์ให้ศาลเชื่อว่าตนไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการนำรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางไปใช้ในการกระทำความผิด เมื่อผู้คัดค้านนำสืบแต่เพียงว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลาง ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของนายสุรพล ขณะเกิดเหตุได้ให้นายอดุลย์เช่าช่วงรถไปโดยมีสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง ซึ่งเป็นพยานหลักฐานที่อาจทำขึ้นภายหลังเกิดเหตุได้โดยง่ายมาแสดง ทั้งไม่มีพยานหลักฐานอื่นประกอบ ทำให้มีน้ำหนักน้อย ผู้คัดค้านจึงยังไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติดังกล่าวมาแล้วข้างต้น นอกจากนี้ข้อเท็จจริงปรากฏตามพยานหลักฐานของผู้ร้องว่า ในชั้นตรวจยึดรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงจำนวน 22 คัน นายสุรพลให้การเกี่ยวกับรถบรรทุกขนหินว่า มีห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. ซึ่งประกอบด้วยบุคคล 6 คน หนึ่งในนั้นมีผู้คัดค้านรวมอยู่ด้วยเป็นเจ้าของรถเป็นผู้ว่าจ้างนายสุรพลขับรถขนหิน โดยได้ค่าขนหินเที่ยวละ 500 บาท รถทั้งสองคันมีห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. เป็นผู้ประกอบการขนส่งประเภทรถบรรทุกไม่ประจำทาง พฤติการณ์แห่งคดีจึงเชื่อว่า ผู้คัดค้านเป็นหนึ่งในผู้ครอบครองรถและเป็นผู้ว่าจ้างนายสุรพลขับรถบรรทุกขนแร่หินทรายของกลาง ผู้คัดค้านจึงมีโอกาสทราบหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่านายสุรพลจะกระทำความผิดและมีการนำรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 154 วรรคสาม จึงไม่มีเหตุที่จะคืนรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางให้แก่ผู้คัดค้านได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้ริบรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางนั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ส่วนฎีกาของผู้คัดค้านข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบแร่หินทราย น้ำหนัก 51,795 กิโลกรัม รถบรรทุกลากจูง และรถพ่วงของกลาง ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 154