ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบแร่หินทราย น้ำหนัก 69,351 กิโลกรัม รถบรรทุกลากจูง หมายเลขทะเบียน 70 - 1753 มหาสารคาม และรถพ่วง หมายเลขทะเบียน 70 - 1713 มหาสารคาม ของกลาง ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 มาตรา 174
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องกับคืนรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางแก่ผู้คัดค้าน
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ริบแร่หินทราย น้ำหนัก 69,351 กิโลกรัม รถบรรทุกลากจูง หมายเลขทะเบียน 70 - 1753 มหาสารคาม และรถพ่วง หมายเลขทะเบียน 70 - 1713 มหาสารคาม ของกลาง ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 มาตรา 174
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมพิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2558 เวลากลางวัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารร่วมกับเจ้าพนักงานตำรวจ และเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง ตรวจยึดรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงขนหิน จำนวน 22 คัน ได้ที่บริเวณถนนสายอุบลราชธานี – เขมราฐ และถนนสายเขมราฐ – ปากแซง ตำบลนาแวง อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นของกลาง พร้อมจับกุมนายสมร ฐานสินเพิ่ม ซึ่งเป็นคนขับรถบรรทุกลากจูง หมายเลขทะเบียน 70 - 1753 มหาสารคาม และรถพ่วง หมายเลขทะเบียน 70 - 1713 มหาสารคาม ดำเนินคดีในความผิดฐานใช้ยานพาหนะที่มีน้ำหนักบรรทุกหรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่ผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดินกำหนดเดินบนทางหลวงแผ่นดินโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ซึ่งต่อมาศาลพิพากษาลงโทษนายสมรและคดีถึงที่สุดแล้ว ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5290/2558 ของศาลชั้นต้น จากนั้นวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานีทำการตรวจสอบหินที่บรรทุกมา ผลปรากฏว่าเป็นหินอุตสาหกรรม ชนิดแร่หินทราย น้ำหนัก 69,351 กิโลกรัม จึงแจ้งความดำเนินคดีแก่นายสมรในความผิดฐานขนแร่โดยไม่ได้รับใบอนุญาต เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2558 เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรเขมราฐส่งมอบรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงพร้อมแร่หินทรายของกลางให้แก่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานีไว้เพื่อเก็บรักษา อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่อนุมัติให้ขายแร่หินทรายของกลางเนื่องจากหากเก็บรักษาไว้อาจสูญหายและไม่มีผู้เก็บรักษาแร่หินทรายของกลางแทน ส่วนรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลาง สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานีทำสัญญาฝากรักษาไว้กับผู้คัดค้านกำหนดระยะเวลาปีต่อปี ต่อมาผู้ร้องมีคำสั่งไม่ฟ้องนายสมรในความผิดฐานขนแร่หินทรายโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเนื่องจากคดีขาดอายุความ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอให้ริบแร่หินทราย รถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางเป็นคดีนี้ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านเฉพาะรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลาง ส่วนแร่หินทรายของกลางไม่มีผู้ใดยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ริบแร่หินทราย รถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลาง ในส่วนของแร่หินทราย ไม่มีผู้ใดอุทธรณ์ คดีในส่วนนี้จึงเป็นอันยุติไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านข้อแรกว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์สินของกลางหรือไม่ เห็นว่า ขณะนายสมรกระทำความผิดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2558 นั้น อยู่ในระหว่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ใช้บังคับ ต่อมามีพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ประกาศใช้บังคับ ซึ่งตามกฎหมายดังกล่าว มาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 และให้ใช้พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 แทน แต่บทบัญญัติในเรื่องการริบทรัพย์สินเนื่องจากการกระทำความผิดตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่กับกฎหมายเดิมไม่แตกต่างกัน ต้องใช้กฎหมายในขณะกระทำความผิดบังคับแก่คดี จึงต้องปรับบทตามมาตรา 154 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 มาตรา 174 มานั้น จึงไม่ถูกต้อง การปรับบทกฎหมายเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ส่วนที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า คดีนี้ผู้ร้องมีคำสั่งไม่ฟ้องนายสมรในความผิดฐานขนแร่หินทรายโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเนื่องจากคดีขาดอายุความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) เจ้าพนักงานไม่มีอำนาจที่จะยึดรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางไว้อีกต่อไป ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลริบทรัพย์สินของกลาง นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 154 วรรคหนึ่ง ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดเหตุ บัญญัติว่า "บรรดาแร่ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ สัตว์พาหนะ ยานพาหนะ หรือเครื่องจักรกลใด ๆ ที่บุคคลได้มาหรือได้ใช้ในการกระทำความผิด หรือมีไว้เนื่องในการกระทำความผิด หรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามมาตรา 132 ทวิ ... มาตรา 148 ... ให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่" โดยมาตรา 148 เป็นบทลงโทษในความผิดฐานขนแร่โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา 154 ดังกล่าวประสงค์ที่จะให้ศาลมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยมิต้องคำนึงว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ จึงไม่จำต้องฟ้องหรือขอให้ลงโทษผู้ใดเป็นผู้กระทำความผิดมาด้วย และมีความหมายรวมตลอดไปถึงกรณีที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาอันเนื่องมาจากคดีขาดอายุความซึ่งมีผลในทำนองเดียวกันคือไม่มีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาของศาลด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายสมรขับรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางขนแร่หินทรายโดยไม่ได้รับใบอนุญาต กรณีจึงถือได้ว่ามีการกระทำความผิดฐานขนแร่โดยไม่ได้รับใบอนุญาตเกิดขึ้นแล้ว จึงต้องฟังว่ารถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางเป็นยานพาหนะที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดเป็นทรัพย์ที่ต้องริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ การที่ผู้ร้องมีคำสั่งไม่ฟ้องนายสมรจึงหาได้กระทบถึงสิทธิการร้องขอให้ริบทรัพย์สินของกลางของผู้ร้องดังที่ผู้คัดค้านฎีกาไม่ ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งริบรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางได้ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องในคดีนี้ นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านข้อต่อไปว่า มีเหตุที่ศาลจะสั่งคืนรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางให้แก่ผู้คัดค้านหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 154 วรรคสาม บัญญัติให้เป็นหน้าที่ของผู้คัดค้านที่จะต้องนำสืบพิสูจน์ให้ศาลเชื่อว่าตนไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการนำรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางไปใช้ในการกระทำความผิด เมื่อผู้คัดค้านนำสืบแต่เพียงว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าของรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลาง และไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของนายสมร ขณะเกิดเหตุได้ให้นายประลือชัยเช่าช่วงรถไปโดยมีสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง ซึ่งเป็นพยานหลักฐานที่อาจทำขึ้นภายหลังได้โดยง่ายมาแสดง ทั้งไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาประกอบ ทำให้มีน้ำหนักน้อย ผู้คัดค้านจึงยังไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติดังกล่าวมาแล้วข้างต้นได้ นอกจากนี้ข้อเท็จจริงกลับปรากฏตามพยานหลักฐานของผู้ร้องว่า ในชั้นตรวจยึดรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลาง นายสมรให้การเกี่ยวกับรถบรรทุกว่าเจ้าของรถเป็นผู้ว่าจ้างให้ขับรถขนหิน ประกอบกับตามสำเนารายการจดทะเบียนรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลาง ระบุว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลาง พฤติการณ์แห่งคดีจึงเชื่อว่า ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าของรถของกลางเป็นผู้ว่าจ้างนายสมรและสั่งการให้นายสมรขับรถบรรทุกขนแร่หินทรายของกลาง ผู้คัดค้านจึงทราบเรื่องที่นายสมรนำรถของกลางทั้งสองคันไปใช้ขนแร่หินทรายดังกล่าวมาแต่แรก ผู้คัดค้านจึงมีโอกาสทราบว่านายสมรจะกระทำความผิดและมีการนำรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 154 วรรคสาม จึงไม่มีเหตุที่จะคืนรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางให้แก่ผู้คัดค้านได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้ริบรถบรรทุกลากจูงและรถพ่วงของกลางนั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ส่วนฎีกาของผู้คัดค้านข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบแร่หินทราย น้ำหนัก 69,351 กิโลกรัม รถบรรทุกลากจูง หมายเลขทะเบียน 70 - 1753 มหาสารคาม และรถพ่วง หมายเลขทะเบียน 70 - 1713 มหาสารคาม ของกลาง ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 154