โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,170,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 600,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดห้องชุดเลขที่ 5257/232 ชั้น 27 (ที่ถูก ชั้น 17) อาคารเลขที่ 5257 ชื่ออาคารชุด ท. ทรัพย์จำนอง พร้อมส่วนควบและสิ่งตรึงตรากับห้องชุดออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยึดห้องชุดเลขที่ 5257/232 ชั้น 27 (ที่ถูก 17) อาคารเลขที่ 5257 ชื่ออาคารชุด ท. ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 15/2536 ซึ่งตั้งอยู่บนโฉนดที่ดินเลขที่ 26736 ถึงเลขที่ 26739 และเลขที่ 26742 ถึงเลขที่ 26745 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จำนวน 1,170,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 600,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 1 ธันวาคม 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ตามพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 เดิมธนาคาร ศ. ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่ง เรื่อง ยืม จำนอง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 16153/2540 ต่อมามีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ใจความว่า จำเลยยอมชำระหนี้ให้แก่ธนาคาร ศ. จำนวน 767,408.20 บาท พร้อมดอกเบี้ย โดยชำระเป็นงวดรายเดือน หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องและทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดได้ทันที ศาลแพ่งพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2541 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ 2358/2541 ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม ต่อมาวันที่ 29 มิถุนายน 2544 ธนาคาร ศ. โอนสินทรัพย์ซึ่งรวมถึงสิทธิเรียกร้องที่มีต่อจำเลยในคดีดังกล่าวให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ พ. จากนั้นวันที่ 7 พฤษภาคม 2547 บริษัทบริหารสินทรัพย์ พ. โอนกิจการให้แก่โจทก์ จากนั้นวันที่ 30 พฤษภาคม 2548 ศาลแพ่งมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 2358/2541 แทนโจทก์เดิม ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองห้องชุดเลขที่ 5247/232 ชั้นที่ 17 ชื่ออาคารชุด ท. เพื่อขายทอดตลาด แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งว่าไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากพ้นระยะเวลาบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีและให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดต่อไป ศาลแพ่งมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดี และให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ไม่เกินหนี้จำนอง 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ที่ค้างชำระเป็นเวลา 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซํ้าหรือไม่ เห็นว่า คดีก่อนธนาคาร ศ. เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดเรื่อง ยืม จำนอง แต่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้โดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยตกลงชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งยอมให้โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์จำนองตามฟ้องและทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาด และศาลแพ่งพิพากษาตามยอมตามสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความและสำเนาคำพิพากษาตามยอม กรณีถือได้ว่าประเด็นแห่งคดีได้มีการวินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดไปแล้วโดยคำพิพากษาตามยอมนั้น การที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้างต้นเป็นเรื่องที่ธนาคาร ศ. ชอบที่จะต้องดำเนินการในชั้นบังคับคดีในคดีเดิม ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ภายหลังจากที่ศาลแพ่งมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีเดิม โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากพ้นระยะเวลาบังคับคดี โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งท้ายที่สุดศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ยกคำร้อง โดยวินิจฉัยว่าโจทก์สิ้นสิทธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินจำนองของจำเลย อย่างไรก็ตามทรัพยสิทธิจำนองยังคงอยู่ โจทก์สามารถใช้ยันต่อลูกหนี้จำนองหรือบุคคลภายนอกที่รับโอนทรัพย์สินจำนองต่อไปได้ หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามวงเงินที่จำนองพร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด ซึ่งมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญาจำนองหรือไม่ เพียงใด คำฟ้องของโจทก์กรณีนี้หาใช่เป็นคำฟ้องในกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาแต่อย่างใดไม่ เมื่อความปรากฏว่าคดีเดิมธนาคาร ศ. ฟ้องโดยใช้สิทธิเรียกร้องตามมูลหนี้กู้ยืมและสัญญาจำนองโดยทรัพย์จำนองในคดีก่อนเป็นทรัพย์จำนองรายเดียวกันกับทรัพย์จำนองในคดีนี้ และโจทก์เป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องนี้มาจากบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ. ซึ่งรับโอนมาจากธนาคาร ศ. โจทก์เดิมอีกทอดหนึ่ง จึงเป็นกรณีที่คู่ความเดียวกันในคดีก่อนซึ่งมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว กรณีเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซํ้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ