เรือยนตร์ซึ่งโจทก์เป็นนายท้ายชนกับเรือยนตร์อีกลำหนึ่ง จำเลยจึงมีคำสั่งยึดประกาศนียบัตร์นายท้ายเรือของโจทก์ โดยอาศัยรายงานการสอบสวนของกรมการอำเภอในเรื่องเรือโดนกันนั้น โจทก์จึงฟ้องจำเลยหาว่าสั่งไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษษต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาว่าจำเลยจะยึดประกาศนียบัตร์ของโจทก์โดยอาศัยแต่เพียงการสอบสวนซึ่งไม่ใช่การไต่สวนตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. เดินเรือในน่านน้ำสยามไม่ได้ และการไต่สวนตาม พ.ร.บ.การเดินเรือฯ ต้องกระทำอย่างเดียวกับการไต่สวนในประมวลวิธีพิจารณาอาญา คือให้โอกาศผู้ถูกกล่าวหารู้เห็นและซักฟอกพะยานที่ปรักปรำตนได้
ศาลฎีกาตัดสินว่าการไต่สวนตามพ.ร.บ.การดินเรือฯ นั้น ไม่มีความหมายเช่นเดียวกับการไต่สวนมูลฟ้องตามประมวลวิธีพิจารณาอาญา ม.๒ ข้อ ๑๒ เพราะการไต่สวนมูลฟ้องเป็นกระบวนการไต่สวนของศาล แต่การไต่สวนตาม พ.ร.บ.การเดินเรือฯ นั้นเป็น การกระทำทางปกครองและไม่มีกฎหมายบทใดที่บังคับให้จำต้องทำการไต่สวนต่อหน้าโจทก์หรือให้โจทก์ มีโอกาศซักฟอกพะยานดังฎีกาของโจทก์พิพากษายืนตามศาลล่าง ทั้ง ๒.