โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการรับผิดไม่จำกัด จำเลยที่ ๓ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ ๖ ล้อ ก.ท.ก-๙๒๗๐ และรถยนต์บรรทุก ก.ท.ก-๖๘๙๐ ซึ่งเกิดเหตุคดีนี้ไว้จากจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ โดยยอมชดใช้ค่าเสียหายแทนถ้ารถทั้งสองคันกระทำละเมิดให้ผู้อื่นเสียหาย ต่อมาวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ เวลาประมาณ ๑๓.๔๐ นาฬิกา นายเฉลิมและนายปรีชาลูกจ้างผู้ขับขี่รถทั้งสองคันในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง จอดรถขวางทางรถไฟที่ทางตัดผ่านถนนอาจณรงค์ แขวงคลองตัน เขตพระโขนงกรุงเทพมหานคร เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ของโจทก์ผู้ขับรถจักรดีเซลสับเปลี่ยนเลขที่ ๕๒๔ ลากรถพ่วงจำนวน ๒๔ ตู้ บรรทุกน้ำมันจากองค์การเชื้อเพลิงมุ่งหน้าจะไปสถานีแม่น้ำ ซึ่งได้ห้ามล้อฉุกเฉินแล้ว แต่ขบวนรถหยุดไม่ทันรถไฟของโจทก์จึงชนรถยนต์ดังกล่าวทำให้ รถจักรดีเซล ตู้รถบรรทุกน้ำมันป้ายจราจรทางบกของโจทก์ได้รับความเสียหาย คือรถจักรดีเซล เลขที่ ๕๒๔ เสียหายเป็นเงิน ๖,๗๕๐ บาท รถ บทค. เลขที่ ๑๐๙๗ เสียหายเป็นเงิน ๑,๘๖๗.๕๐ บาท รถ บทค. เลขที่ ๙๗๖ เสียหายเป็นเงิน ๓๑๗.๕๐ บาท และค่าเสียหายของฝ่ายบำรุงทาง (เพราะทางที่เกิดรถชนกันมีป้ายจราจรทางบกของโจทก์ปักไว้เสียหายด้วย) เป็นเงิน ๙๑๔.๕๐ บาทรวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น ๙,๘๔๙.๕๐ บาท โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสามชำระเงินค่าเสียหายดังกล่าวแล้ว จำเลยเพิกเฉย จึงขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันทำละเมิดคือวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ ถึงวันฟ้องโดยโจทก์ขอคิดเพียง ๑๑ เดือน เป็นเงิน ๖๘๔.๐๒ บาท ขอบังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันชดใช้เงินแก่โจทก์ ๑๐,๕๓๓.๕๒ บาท พร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๙,๘๔๙.๕๐ บาท นับแต่วันถัดวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การว่า รถยนต์บรรทุก ก.ท.ก-๙๒๗๐ เป็นของจำเลยที่ ๑ ส่วนรถยนต์บรรทุก ก.ท.ก-๖๘๙๐ ไม่ใช่ของจำเลยทั้งสองวันเกิดเหตุรถของจำเลยมิได้ทำละเมิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายและดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสอง หากต้องรับผิดจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถดังกล่าวก็ต้องเป็นผู้รับผิดแทน ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายไว้โดยชัดแจ้ง ทำให้จำเลยทั้งสองไม่สามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ก-๙๒๗๐ ในนามบุคคลอื่นซึ่งต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลภายนอกในนามของผู้เอาประกันภัย ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดเท่านั้นมิได้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ก-๖๘๙๐ ผู้ขับขี่รถยนต์ทั้งสองคันมิใช่ลูกจ้างกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ และมิได้ก่อให้เกิดละเมิดแก่รถไฟของโจทก์หากแต่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างโจทก์ จำเลยทั้งหมดไม่ต้องรับผิด หากต้องรับผิดก็ไม่เกิน ๕๐๐ บาท ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะจำเลยที่ ๓ ไม่ทราบได้ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รถไฟของโจทก์นั้นเสียหายอย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน ๙,๘๔๙.๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ฯลฯ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาเกี่ยวกับดอกเบี้ยยังไม่ถูกต้อง พิพากษาแก้เกี่ยวกับคิดดอกเบี้ยให้ตรงกับคำขอท้ายฟ้อง
จำเลยทั้งสามฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงความเสียหายว่าผลแห่งการกระทำละเมิดครั้งนี้ทำให้รถจักรดีเซล ตู้รถบรรทุกน้ำมันป้ายจราจรทางบกของโจทก์ได้รับความเสียหาย คือ รถจักรดีเซลเลขที่ ๕๒๔ เสียหายเป็นเงิน ๖,๗๕๐ บาท รถ บทค. เลขที่ ๑๐๙๗ เสียหายเป็นเงิน ๑,๘๖๗.๕๐ บาท รถ บทค. เลขที่ ๙๗๖ เสียหายเป็นเงิน ๓๑๗.๕๐ บาท ป้ายจราจรทางบกของโจทก์เสียหายเป็นเงิน ๙๑๔.๕๐ บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น ๙,๘๔๙.๕๐ บาท เป็นการบรรยายถึงความเสียหายโดยแจ้งชัดแล้วว่าทรัพย์สินของโจทก์ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงินค่าเสียหายเท่าใดส่วนรายละเอียดเสียหายอย่างใดนั้น เป็นเรื่องที่จะนำสืบให้ปรากฏในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายจึงไม่เคลือบคลุม
พิพากษายืน