โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันลักน้ำมันดีเซลของบริษัทอีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕, ๘๓ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๑๑
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพ
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การสอบสวนพยานทำโดยเจ้าพนักงานที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย จึงเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบ แม้จะมีการสอบสวนเพิ่มเติมโดยพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสำโรงใต้ในภายหลัง ก็ไม่ทำให้การสอบสวนที่เสียไปแล้วกลับคืนดีขึ้นมา พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ร่วมซึ่งฟ้องคดีโดยอาศัยคำฟ้องของพนักงานอัยการจึงไม่มีอำนาจฟ้องเช่นเดียวกัน ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นลักษณะคดีย่อมมีผลถึงจำเลยที่ ๒ ที่ให้การรับสารภาพด้วย พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจสำโรงใต้ซึ่งความผิดคดีนี้เกิดในเขตอำนาจ ได้ทำการสอบสวนจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไว้ จึงฟังได้ว่าได้มีการสอบสวนคดีนี้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เพราะกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าจะต้องมีการสอบสวนมากน้อยเพียงใด พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสำโรงใต้ท้องที่เกิดเหตุกล่าวหาว่า จำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ลักน้ำมันดีเซลของโจทก์ร่วม ในชั้นสอบสวนพันตำรวจโทมณเฑียร ประทีปะวณิช เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบางซื่อเป็นผู้สอบสวนพยานของผู้กล่าวหา ส่วนร้อยตำรวจโทจำรัส นัดดาหลง พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสำโรงใต้ ซึ่งความผิดคดีนี้เกิดในเขต ได้ทำการสอบสวนจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ตลอดจนตรวจสถานที่เกิดเหตุ ทำแผนที่เกิดเหตุ และบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ ๒ คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ว่า การสอบสวนดังกล่าวเป็นการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือไม่ เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๐ บัญญัติว่า "ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาลโดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน" การสอบสวนที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๒๐ นี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ต้องสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๖) ประกอบด้วย มาตรา ๑๘ เมื่อเหตุคดีนี้เกิดในเขตท้องที่สถานีตำรวจภูธรสำโรงใต้ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พันตำรวจโทมณเฑียร เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบางซื่อก็ไม่มีอำนาจสอบสวน เพราะคดีเกิดนอกเขตอำนาจของตน และไม่มีเหตุอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘ วรรคสอง ที่จะทำให้ตนมีอำนาจสอบสวนได้ ทั้งถือไม่ได้ว่าเป็นการทำการแทนพนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๘ บัญญัติไว้ การสอบสวนดังกล่าวจึงเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนที่ร้อยตำรวจโทจำรัส พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสำโรงใต้สอบสวนจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ทำแผนที่เกิดเหตุตรวจสถานที่เกิดเหตุและบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ ๒ จะฟังว่าการสอบสวนคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายแล้วเพราะกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าจะต้องทำการสอบสวนมากน้อยเพียงใด ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก็ไม่ได้ เพราะไม่ปรากฏว่าร้อยตำรวจโทจำรัสเห็นว่าการสอบสวนเฉพาะของตนเป็นการสอบสวนเสร็จแล้วตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๐ ดังนี้ การสอบสวนของร้อยตำรวจโทจำรัสจึงเป็นการสอบสวนเพียงบางส่วนของคดี เมื่อการสอบสวนทั้งคดีรวมการสอบสวนของพันตำรวจโทมณเฑียรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไว้ด้วย การสอบสวนคดีนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘ และไม่เป็นการสอบสวนตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๐ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมของผู้เสียหายย่อมเป็นอันตกไปด้วย คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยที่ ๑ ฟังขึ้น แม้จำเลยที่ ๒ จะมิได้ฎีกา แต่ข้อที่ว่าการสอบสวนคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ ๒ ด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น