โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยที่  ๒ ได้สลักหลังเช็คธนาคารไทยพัฒนาจำกัด  สาขาปากน้ำโพ ๓ ฉบับ  ซึ่งจำเลยที่  ๑ เป็นผู้สั่งจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่จำเลยที่ ๒  โจทก์นำเช็คดังกล่าวไปขอรับเงินต่อธนาคาร  ปรากฏว่าจำเลยที่  ๑ ได้สั่งระงับการจ่ายเงิน  จึงขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็ค
จำเลยที่  ๑ ต่อสู้ว่า   โจทก์กับจำเลยที่  ๒ สมคบกัน  โดยจำเลยที่  ๒ แกล้งเป็นลูกหนี้โจทก์  โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ทรงเช็คหรือรับโอนเช็คดังกล่าว  จำเลยที่  ๒ เซ็นชื่อหลังเช็คในฐานะผู้ขอเบิกเงินจากธนาคาร   ไม่ใช่ในฐานะผู้สลักหลังโอนเช็คให้โจทก์  ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า  จำเลยที่ ๑ ได้สั่งจ่ายเช็คให้แก่จำเลยที่ ๒ หรือผู้ถือจำเลยที่ ๒  ได้สลักหลังชำระหนี้ให้โจทก์  ข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ ๑ นำสืบไม่ปรากฏว่าการโอนเช็คระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒  ได้มีขึ้นด้วยสมคบกับฉ้อฉลจำเลยที่ ๑  โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คทั้ง ๓ ฉบับนี้โดยชอบด้วยกฎหมาย  จำเลยที่ ๒ เป็นผู้นำเช็คทั้ง ๓ ฉบับไปขึ้นเงินต่อธนาคาร  โจทก์หาได้นำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินไม่  เมื่อโจทก์มิได้นำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคาร  ก็เท่ากับโจทก์ยังไม่ได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๙๑๔  คือ  โจทก์มิได้ทวงถามหนี้รายนี้จากธนาคาร  ธนาคารก็ดี  จำเลยที่ ๑ ก็ดี  ยังมิได้ผิดสัญญาต่อโจทก์  หนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้ร่วม  เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิด  จำเลยที่ ๒  ก็ไม่ต้องรับผิดด้วย  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า  โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบ  โจทก์ไม่เคยไปเบิกเงินจากธนาคาร  โจทก์จะมากล่าวหาว่าจำเลยที่ ๑ ทำผิดย่อมฟังไม่ขึ้น  และหนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้ร่วม  เมื่อจำเลยที่ ๑  ผู้สั่งจ่ายไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์  จำเลยที่ ๒  ผู้โอนเช็คให้โจทก์ย่อมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์  พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยที่ ๑  รับผิดตามฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า  เช็ครายพิพาททั้ง ๓ ฉบับ  ระบุให้จ่ายเงินแก่จำเลยที่ ๒  หรือผู้ถือการโอนไปย่อมสมบูรณ์เพียงด้วยส่งมอบให้กัน  เมื่อจำเลยที่ ๒  ส่งมอบเช็คพิพาทให้โจทก์  โจทก์ย่อมเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๙๑๘ และ ๙๘๙  คดีนี้  คู่ความรับกันแล้วว่าเช็ครายพิพาทถึงกำหนด  และธนาคารไม่ยอมจ่ายเงินตามเช็ค  ผู้ทรงย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บรรดาผู้สั่งจ่ายได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๙๕๙  จำเลยที่ ๑  ผู้สั่งจ่ายเช็คหาอาจจะต่อสู้โจทก์ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับจำเลยที่ ๒  ผู้ทรงคนก่อน ๆ นั้นได้ไม่  เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑  ได้สั่งจ่ายเช็คล่วงหน้าให้แก่จำเลยที่ ๒   ต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ได้ยักยอกเงินของบริษัทซึ่งจำเลยที่ ๑  เป็นผู้จัดการจำเลยที่ ๑  จึงแจ้งความให้ดำเนินคดีอาญา  และแจ้งธนาคารให้ระงับการจ่ายเงินตามเช็ค  จำเลยที่ ๒ เอาเช็คพิพาทไปขึ้นเงิน  ธนาคารปฏิเสธการจ่าย  จำเลยที่ ๒ จึงให้เช็คแก่โจทก์  โจทก์ได้เอาเช็คนั้นมาฟ้องให้จำเลยที่ ๑  รับผิดจ่ายเงินตามเช็ค  เมื่อการโอนเช็คพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๒ และโจทก์ได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันเพื่อฉ้อฉลจำเลยที่ ๑    จำเลยที่ ๑ ผู้สั่งจ่ายย่อมต่อสู้ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยเกี่ยวพันระหว่างตนกับจำเลยที่ ๒  ผู้ทรงคนก่อนนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๙๑๖ และ ๙๘๙  วรรค ๑  ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน