โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2539 จำเลยกู้เงินจากธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) สาขาสุไหงโกลก จำนวน 100,000 บาท ตกลงเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี โดยจะชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็นรายเดือน เดือนละ 2,500 บาท และจะชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ในวันเดียวกัน จำเลยได้จดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก) เลขที่ 5657 พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่ธนาคารในวงเงินจำนวน 100,000 บาท หลังจากนั้นจำเลยได้ชำระดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2541 จำนวน 4,000 บาท ต่อมาโจทก์ได้ทำสัญญารับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) ทำให้สิทธิหน้าที่ความรับผิดและสิทธิเรียกร้องต่างๆ ในสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและหลักประกันในสินทรัพย์ดังกล่าวตกเป็นของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องจำนวน 207,097.26 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.25 ต่อปี จากต้นเงิน 100,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระ ให้ยึดทรัพย์จำนองตลอดจนทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนกว่าจะครบถ้วน
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นำเงินที่จำเลยชำระแก่ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) และโจทก์มาแล้วนับตั้งแต่วันกู้ยืม (วันที่ 18 มิถุนายน 2539) ไปหักออกจากต้นเงินจำนวน 100,000 บาท เมื่อเหลือต้นเงินจำนวนเท่าใด ให้จำเลยชำระต้นเงินคงเหลือจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก) เลขที่ 5657 ตำบลแว้ง อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าจำเลยชำระดอกเบี้ยด้วยความสมัครใจและรู้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ในสัญญาสูงเกินกว่าที่ธนาคารมีสิทธิเรียกเก็บได้ จึงไม่อาจนำเงินที่จำเลยชำระดอกเบี้ยดังกล่าวมาหักต้นเงินได้นั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย"
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยชี้ขาดต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา