โจทก์ฟ้องว่า  ที่พิพาทเป็นของบริษัทหลิ่มติมโหมวผู้ล้มละลาย  แต่ลงชื่อจำเลยเป็นผู้รับโอนในหน้าโฉนดแทนบริษัทสืบต่อมาจากนางสาวสุธีระ  ซึ่งเป็นผู้รับโอนจากเจ้าของเดิมแทนบริษัท  ขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่ดินแก่โจทก์หรือผู้ที่โจทก์หรือกองหมายจะขายให้
จำเลยสู้ว่าจำเลยได้รับโอนจากนางสาวสุธีระโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน
ศาลแพ่งเห็นว่า  ผู้ถือหุ้นบริษัทนี้มี ๗ คน  เป็นคนสัญชาติไทยคนเดียวหรือจำเลย  นอกนั้นเป็นคนต่างด้าว  ตามฟ้องของโจทก์เป็นการรับอยู่ในตัวว่า  บริษัทมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานในการซื้อที่รายนี้  จึงได้ใช้ชื่อผู้อื่นถือกรรมสิทธิ์ไว้แทน  สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างบริษัทกับเจ้าของเดิมเป็นโมฆะ  เพราะเป็นการขัดต่อบทกฎหมายซึ่งเป็นบทบัญญัติ  เพื่อความปลอดภัยของบ้านเมือง  นับว่าเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน  คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นต่อไป      พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น  ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีโดยที่ประชุมใหญ่แล้ว  ตามพระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับต่างด้าว  พ.ศ. ๒๔๘๖  มาตรา ๕ บัญญัติว่า  คนต่างด้าวจะได้มาซึ่งที่ดินได้ก็ด้วยอาศัยบทสนธิสัญญาซึ่งบัญญัติให้มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ได้  แต่ต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้"  มาตรา ๖  บัญญัติว่า  "ภายใต้บังคับมาตรา ๕  คนต่างด้าวได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยประกอบกิจการในทางพาณิชยกรรม  อุตสาหกรรม  หรือเกษตรกรรม  หรือเพื่อใช้ในการศาสนา  การกุศล  หรือใช้เป็นสุสาน  หรือฌาปนสถาน  ได้ตามข้อกำหนด  เงื่อนไขและปริมาณเนื้อที่ซึ่งกำหนดโดยพระราชบัญญัตินี้หรือโดยอาศัยอำนาจแห่งพระราชบัญญัตินี้  และต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่"  พระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว  พ.ศ. ๒๔๙๓  มาตรา ๓  ซึ่งให้เพิ่มมาตรา ๑๑  แห่งพระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว  พ.ศ. ๒๔๘๖  มีความว่า  "มาตรา ๑๑ ทวิ  บทบัญญัติมาตรา ๕  ถึงมาตรา ๙  และมาตรา ๑๑ นั้น  ให้นำมาใช้บังคับแก่นิติบุคคลต่อไปอีกด้วยคือ
(๑)  บริษัทจำกัดซึ่งมีทุนของคนต่างด้าวเกินกว่าร้อยละห้าสิบ  หรือผู้ถือหุ้นเป็นคนต่างด้าวเกินกว่ากึ่งจำนวนผู้ถือหุ้นแล้วแต่กรณี  ฯลฯ"  มาตรา ๖  บัญญัติว่า  "นิติบุคคลใดฝ่าฝืนมาตรา ๖  แห่งพระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว  พุทธศักราช ๒๔๘๖  มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท"
ศาลฎีกาเห็นว่า  บริษัทหลิ่มติมโหมว  จำกัด  มีคนต่างด้าวถือหุ้น  อยู่เกินกึ่งจำนวนผู้ถือหุ้น  จึงตกอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าวดังกล่าวมาแล้ว  ซึ่งบัญญัติว่า  คนต่างด้าวได้มาซึ่งที่ดินได้ตามข้อกำหนดเงื่อนไข  และปริมาณเนื้อที่ซึ่งกำหนดโดยพระราชบัญญัตินี้หรือโดยอาศัยอำนาจแห่งพระราชบัญญัตินี้  ฉะนั้น  การได้มาซึ่งที่ดินพิพาทของบริษัทลูกหนี้ตามฟ้องโจทก์โดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา ๕ และ ๖  แห่งพระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว  พ.ศ. ๒๔๘๖  จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย  แต่ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่า  การได้มาซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็นโมฆะ  เพราะวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อบทกฎหมายอันเป็นบทบัญญัติเพื่อความปลอดภัยของบ้านเมือง  ไม่มีทางที่บริษัทลูกหนี้จะได้กรรมสิทธิ์หรือรับโอนกรรมสิทธิ์  จึงไม่อาจบังคับตามคำขอของโจทก์ได้นั้น  ศาลฎีกาเห็นว่า  พระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา ๙  ได้บัญญัติในกรณีที่คนต่างด้าว  ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ที่ดินแล้วเลิกไม่ใช้ที่ดิน  หรือใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์อย่างอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ฯลฯ  ต้องจำหน่ายที่ดินนั้นภายในเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด  ฯลฯ  ถ้ายังไม่จำหน่ายตามกำหนด  พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจัดการขายทอดตลาด  เงินที่ขายทอดตลาดนั้น  เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว  ให้คืนแก่เจ้าของที่ดิน  แสดงว่ากฎหมายมุ่งประสงค์ไม่ให้ที่ดินคงตกอยู่ในมือของคนต่างด้าวผู้ไม่ได้รับอนุญาตให้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเท่านั้น  พระราชบัญญัติดังกล่าวได้ยกเลิกไปแล้วโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗  มาตรา ๔ (๑๓)  (๑๔)  โดยมีประมวลกฎหมายที่ดินบัญญัติขึ้นใช้แทน  มีความในมาตรา ๙๔ ว่า  บรรดาที่ดินที่คนต่างด้าวได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  หรือไม่ได้รับอนุญาตให้คนต่างด้าวนั้นจัดการจำหน่ายภายในเวลาที่อธิบดีกำหนดให้มีอำนาจจำหน่ายที่ดินนั้น  และให้นำบทบัญญัติเรื่องการบังคับจำหน่ายที่ดินตามความในหมวด ๓  มาใช้บังคับโดยอนุโลมและมาตรา ๙๖ บัญญัติว่า  เมื่อปรากฏว่าผู้ใดได้มาซึ่งที่ดินแห่งใดในฐานะเป็นเจ้าของแทนคนต่างด้าวให้อธิบดีมีอำนาจทำการจำหน่ายที่ดินนั้น  และให้นำบทบัญญัติมาตรา ๙๔  มาใช้บังคับโดยอนุโลม  ศาลฎีกาเห็นว่า  พระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว  พ.ศ. ๒๔๘๖  และฉบับที่ ๒  พ.ศ. ๒๔๙๓  มีบทบัญญัติเฉพาะกรณีที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้มีและใช้ที่ดินแล้วเลิกไม่ใช้ที่ดินนั้น  หรือใช้ที่ดินเพื่อการอื่นโดยไม่รับอนุญาต  หรืออนุญาตที่ได้รับใหม่ให้มีเนื้อที่น้อยกว่าเดิม  ต้องจำหน่ายที่ดินภายในกำหนด  มิฉะนั้นให้พนักงานเจ้าหน้าที่ขายทอดตลาดที่ดินนั้นได้  แต่ไม่มีบทบัญญัติถึงกรณีที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้มีและใช้ที่ดินแล้ว  เลิกไม่ใช้ที่ดินนั้น  หรือใช้ที่ดินเพื่อการอื่นโดยไม่รับอนุญาต  หรืออนุญาตที่ได้รับใหม่ให้มีเนื้อที่น้อยกว่าเดิม  ต้องจำหน่ายที่ดินภายในกำหนด  มิฉะนั้นให้พนักงานเจ้าหน้าที่ขายทอดตลาดที่ดินนั้นได้  แต่ไม่มีบทบัญญัติถึงกรณีที่คนต่างด้าวมีที่ดินโดยไม่รับอนุญาตตั้งแต่แรกโดยเฉพาะประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา ๙๔ และ ๙๖  จึงบัญญัติเพิ่มเติมขึ้นให้บริบูรณ์  และใช้บังคับถึงที่ดินที่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว  พ.ศ. ๒๔๘๖  และ พ.ศ. ๒๔๙๓  นั้นด้วย  เพราะมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๘๖  ยกเว้นไม่ใช้บังคับแก่ที่ดินที่คนต่างด้าวได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย  ก่อนวันใช้พระราชบัญญัติ  และได้แสดงหลักฐานแห่งสิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วเท่านั้น  ที่ดินที่คนต่างด้าวได้มานอกจากนั้นย่อมถือเป็นที่ดินที่คนต่างด้าวได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ตามความหมายที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๙๔ ทั้งสิ้น  ไม่ว่าจะเป็นที่ดินที่คนต่างด้าวได้มาก่อนหรือหลังวันใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน  ศาลฎีกาจึงเห็นว่า  ถึงแม้คดีนี้จะมีข้ออ้างว่าที่ดินที่พิพาทบริษัทลูกหนี้ผู้ล้มละลายได้มาโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว  พ.ศ. ๒๔๘๖  และฉบับที่ ๒  พ.ศ. ๒๔๙๓  ก็เป็นที่ดินที่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๙๔, ๙๖   ที่ให้คนต่างด้าวจำหน่ายได้  ถ้าไม่จำหน่าย  ก็ให้อธิบดีมีอำนาจจำหน่ายได้  ถ้าไม่จำหน่าย  ก็ให้อธิบดีมีอำนาจจำหน่ายได้  เมื่อที่ดินนั้นคนต่างด้าวจำหน่ายได้ตามบทกฎหมายดังกล่าวแล้ว  โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของผู้ล้มละลาย  ก็ย่อมจำหน่ายที่ดินนั้นในการบังคับคดีล้มละลายได้เช่นเดียวกัน  ทั้งนี้  ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยปัญหาที่ว่า  การโอนที่ดินมาเป็นของบริษัทลูกหนี้ตกเป็นโมฆะ  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๓   ดังที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแตกต่างกันมานั้นหรือไม่  เพราะคดีไม่เป็นปัญหาถึงความสมบูรณ์ของนิติกรรม  และหนี้ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายที่ดิน  ทั้งเป็นคดีที่โจทก์มิได้มีคำขอให้โอนที่ดินไปเป็นของคนต่างด้าวซึ่งจะทำมิได้  แต่เป็นกรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายที่ดินนั้นเพื่อเอาเงินเข้าเป็นกองทรัพย์สินของผู้ล้มละลายได้  ไม่ว่ากรณีคนต่างด้าวได้ที่ดินมาจะเป็นโมฆะหรือไม่  แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อโต้เถียงข้ออื่นของคู่ความ  ศาลชั้นต้นชอบที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริง  แล้วพิพากษาใหม่ตามข้อกฎหมายข้างต้น  ผลแห่งคำพิพากษา  ศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น  ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงและมีคำพิพากษาใหม่  เป็นการชอบแล้ว
พิพากษายืน  ยกฎีกาจำเลย  ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้น  พิจารณาสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่