คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมและบังคับจำนอง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑,๖๓๒,๐๘๙.๔๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินที่จำนองออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ แต่จำเลยไม่ยอมชำระหนี้ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดที่ดินโฉนดที่ ๒๘๙๖๕ แขวงทุ่งมหาเมธ (สาธร) เขตยานนาวา (บางรัก) กรุงเทพมหานคร พร้อมตึกแถว ๕ ชั้น เลขที่ ๑๑๙/๑๖ - ๓๕ จำนวน ๒๐ คูหา ของจำเลยออกขายทอดตลาดเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๑ นายสุขเกษมผู้ร้องคัดค้าน ที่ ๑ และนายบุญส่งผู้ร้องคัดค้าน ที่ ๒ เข้าประมูลให้ราคาสูงสุด ๔,๐๕๐,๐๐๐ บาท โจทก์ไม่คัดค้านการขาย จำเลยไม่ไปในวันขาย เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงขายทอดตลาดที่ดินและตึกแถวดังกล่าวแก่ผู้ร้องคัดค้านทั้งสองไป
จำเลยยื่นคำร้องว่า ขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาดและให้เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดใหม่
ผู้ร้องคัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้าน การขายขอดตลาดชอบแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์สินรายพิพาทให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดใหม่ แจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ
ผู้ร้องคัดค้านทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องคัดค้านทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายโดยฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๘๔๖๕ ตำบลทุ่งมหาเมธ (สาธร) อำเภอยานนาวา (บางรั) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๑ งาน ๕๐ ๗/๑๐ ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินคือตึกแถว ๕ ชั้น รวม ๒๐ คูหา เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาที่ดินตารางวาละ ๖,๐๐๐ บาท ตามราคาประเมินของสำนักงานที่ดินซึ่งใช้บังคับในขณะนั้น คิดเป็นราคาที่ดิน ๙๐๔,๒๐๐ บาท ส่วนราคาตึกแถวที่ดินประเมินไว้คูหาละ ๒๕๐,๐๐๐ บาท ๒๐ คูหา เป็นเงิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งสิ้น ๕,๙๐๔,๒๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ในวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๑ โดยแจ้งการขายทอดตลาดให้จำเลยทราบแล้ว ให้วันขายทอดตลาดมีผู้เข้าประมูลสู้ราคา ๒ คน คือผู้ร้องคัดค้านทั้งสองซึ่งร่วมกันเสนอราคาสูงสุด ๔,๐๕๐,๐๐๐ บาท โจทก์ไม่คัดค้านเพราะเห็นว่าคุ้มหนี้ ส่วนจำเลยไม่มาร่วมในการขายทอดตลาด เจ้าพนักงานบังคับคดีได้เคาะไม้ขายทอดตลาดทรัยพ์สินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องคัดค้านทั้งสองไป ปัญหามีว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ให้แก่ผู้ร้องคัดค้านทั้งสองโดยชอบหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะได้ความจากคำเบิกความของนางสาวนงนภา จันทรศักดิ์ เจ้าพนักงานบังคับคดีพยานผู้ร้องคัดค้านทั้งสองซึ่งไปทำการยึดทรัพย์รายนี้ว่าตอนไปยึดทรัพย์ (ในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๐) บริเวณที่ดินพิพาทราคาประเมินของกรมที่ดินตารางวาละ ๖,๐๐๐ บาท ก็ตาม แต่ขณะที่ทำการขายทอดตลาดทรัพย์รายนี้ในวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๑ นั้น กรมที่ดินได้ใช้ราคาประเมินใหม่แล้วเป็นตารางวาละ ๔๐,๐๐๐ บาท ย่อมเห็นได้ว่าเฉพาะราคาที่ดินรายนี้อย่างเดียวตามราคาประเมินใหม่ของกรมที่ดินเป็นเงินถึง ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาทเศษ ซึ่งมากกว่าราคาที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ถึง ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาทเศษ ทั้งราคาที่ดินและตึกแถวบนที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายให้แก่ผู้ร้องคัดค้านทั้งสองไปยังต่ำกว่าราคาที่ดินและตึกแถวบนที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ถึง ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาทเศษ อีกด้วย ประกอบกับเพิ่งมีการขายทอดตลาดทรัพย์รายนี้เป็นครั้งแรก และมีผู้เข้าประมูลสู้ราคาจริง ๆ เพียง ๒ คนเท่านั้น คือผู้ร้องคัดค้านทั้งสอง ย่อมเห็นได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้ใช้ดุลพินิจและความละเอียดรอบคอบเท่าที่ควรในการขายทรัพย์รายนี้ให้ได้ราคาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยได้ขายให้แก่ผู้ร้องคัดค้านทั้งสองไปต่ำกว่าราคาประเมินของกรมที่ดินเป็นอันมาก ทำให้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้รับความเสียหาย จึงถือได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีโดยไม่ชอบ จำเลยย่อมขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดและขอให้ขายทอดตลาดใหม่ได้
พิพากษายืน